“โค้ชอ๊อต” เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ยอมรับว่า ตนต้องกลับไปดูแลครอบครัวที่จีน แต่จะคอยให้คำปรึกษา เชื่อมั่นว่า สมาคมวอลเลย์บอลไทยวางระบบมาดี
การแข่งขันวอลเลย์บอล เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ 2016 รอบสุดท้าย ระหว่างวันที่ 6 - 10 กรกฎาคมนี้ ที่อินดอร์ สเตเดียมหัวหมาก ซึ่งทีมชาติไทย เจ้าภาพการแข่งขันรายการนี้ อยู่ในกลุ่ม เค พบ บราซิล (แชมป์ 10 สมัย) วันที่ 6 กรกฎาคม เวลา 18.00 น. ต่อด้วยปะทะ รัสเซีย (แชมป์ 3 สมัย) วันที่ 8 กรกฎาคม เวลา 18.00 น. โดยอันดับ 1 - 2 จะผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ไปพบกับ อันดับ 1 - 2 กลุ่ม เจ ซึ่งมี สหรัฐอเมริกา (แชมป์ 6 สมัย), จีน (แชมป์ 1 สมัย) และ เนเธอร์แลนด์ (แชมป์ 1 สมัย) อยู่ในสาย
ทั้งนี้ การแข่งขันรายการนี้ ถือเป็นรายการสุดท้ายที่ “โค้ชอ๊อต” เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร จะทำหน้าที่ผู้ฝึกสอน ก่อนจะเดินทางกลับไปคุมทีมระดับสโมสรที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นเวลา 3 ปี โดยกุนซือร่างใหญ่ เปิดเผยว่า
“รายการนี้จะเป็นรายการสุดท้ายของผม ผมจะต้องกลับไปดูแลครอบครัวที่ประเทศจีน กับนักกีฬาทุกคน ก็มีความผูกพันกัน หลายคนอยู่ร่วมกันมานาน ทำงาน ฝึกซ้อมร่วมกัน ย่อมมีความผูกพันกันเป็นธรรมดา แต่ก็จะไม่ได้หายไปไหน ยังคอยเป็นที่ปรึกษาอยู่เหมือนเดิม”
พร้อมกันนี้ “โค้ชอ๊อต” กล่าวถึงทีมชาติไทยชุดดังกล่าวด้วยว่าหากเป็นคนอื่นมาทำก็ไม่มีปัญหา เพราะมีระบบอยู่แล้ว “สมาคมวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย วางระบบทีมของเราไว้นานแล้ว มีการสร้างทีมมาต่อเนื่อง นักกีฬาเก่า ๆ ตัวเก๋าก็เล่นกันมานาน ส่วนเด็กใหม่ก็มีมาเสริมทีมและจะมีมาเรื่อย ๆ ส่วนนักกีฬาที่อายุเยอะขึ้น ด้วยประสบการณ์หากร่างกายไม่ไหว ก็สามารถเลื่อนขึ้นไปทำหน้าที่ต่าง ๆ ในสมาคม หรือวงการวอลเลย์บอลได้เป็นอย่างดี ถือเป็นบุคลากรสำคัญต่อไป”
ขณะเดียวกัน กุนซือทีมชาติไทยรายนี้ กล่าวถึงโอกาสของทีมชาติไทยในรายการนี้ด้วยว่า “เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ รอบสุดท้าย อะไรก็เกิดขึ้นได้ ในรอบที่ผ่านมาเราอาจทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็เป็นเรื่องของการเดินทางที่ทำให้นักกีฬาไม่พร้อมและอ่อนล้า รวมทั้งมีการพักผู้เล่นตัวหลัก รวมถึงอาการบาดเจ็บ และป่วยในบางสนามด้วย แต่ที่เมืองไทย ตอนนี้ เราพร้อมแล้ว ถ้าหากว่าชนะได้ทุกทีม โอกาสเป็นแชมป์ก็เกิดขึ้นได้ ผมหวังว่านักกีฬาทุกคนจะใช้ความสามารถที่มีอยู่ให้เต็มที่ในการแข่งขันครั้งนี้ และอยากเห็นกองเชียร์ชาวไทยทุกคนมาร่วมกันส่งแรงใจเชียร์นักกีฬา เพราะนี่จะเป็นแรงผลักดันให้นักกีฬาทำผลงานให้ดียิ่งขึ้น”