คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
ทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ไม่ทำให้แฟนคลับผิดหวัง โชว์ฟอร์มหรูคว้าแชมป์ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ ครั้งที่ 44 ประจำปี 2559 มาครองได้สำเร็จ ด้วยการปราบยอดทีมจากแดนอาหรับสองนัดรวด ซึ่งนับเป็นนิมิตหมายอันดีในการเตรียมทีมลุยศึก ฟุตบอลโลก2018 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย รอบ 12 ทีมสุดท้าย
ในการคัดฟุตบอลโลก ทีมชาติไทย ต้องปะทะกับทีมจากตะวันออกกลาง ที่อยู่ร่วมกลุ่ม บี ถึง 3ทีม คือ ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และ อิรัก ดังนั้น คิงส์ คัพ ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งมี จอร์แดน, ซีเรีย และ ยูเออี เดินทางมาร่วมฟาดแข้ง จึงเป็นบททดสอบชั้นดีว่าจะมีลุ้นได้ขนาดไหน โดยเฉพาะเกมในบ้านที่ต้องการันตี 3 คะแนนให้ได้
ซึ่งทั้งสองนัดที่ทีมไทยลงสนามต้องบอกว่าได้ประสบการณ์ไปเต็มกระเป๋า โดยเกมแรกกับ ซีเรีย นำก่อนถึงสองลูกจาก ธีรศิลป์ แดงดา และ มงคล ทศไกร แต่กลับแผ่วปลายโดนไล่ตีเสมอ ก่อนที่สุดท้ายจะเฉือนชัยไปอย่างลุ้นระทึกทั้งประเทศในการยิงลูกจุดโทษ ด้วยสกอร์รวม 9-8 (ในเวลา 2-2) ส่วนแมตช์ต่อมาในนัดชิงฯ ปราบ จอร์แดน ไปอย่างไม่ยากเย็น 2-0 จากการเหมาของ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ปีกซ้ายเคราเฟิ้ม
แน่นอนว่า 4 ประตู จาก 2 นัด แสดงให้เห็นว่า เกมรุกของไทยยังคงมีประสิทธิภาพ แม้รูปเกมจะไม่ข่มมิด หรือโชว์ทักษะต่อบอลอันแพรวพราวให้เห็น แต่ในจังหวะสำคัญยังเชื่อขนมกินได้ มีทีเด็ดทีขาดตามแบบฉบับ
ส่วนเกมรับนั้น ต้องยอมรับว่า ยังมีปัญหาอยู่บ้าง โดยเฉพาะการรับมือลูกโด่งจากด้านข้าง และลูกบอมยาวข้ามแผงหลัง การโดน ซีเรีย ไล่เจ๊าใน 90 นาทีแบบนี้ หากเป็นในศึกคัดบอลโลก ถือเป็นความเสียหายใหญ่หลวงหายไป 2 คะแนนฟรี ๆ จากที่ควรจะใช้ความได้เปรียบเก็บ 3 คะแนนในรังจากทีมโซนนี้ให้ได้ชัวร์ ๆ
เรื่องนี้เป็นการบ้านที่ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือใหญ่ต้องกลับไปคิดหนัก ไม้เด็ดเกมรุกจากฟูลแบ็กทั้งสองข้างต้องลดลงหรือไม่ เพื่อมาช่วยปิดการครอสบอลริมเส้นของคู่แข่ง คู่เซ็นเตอร์แกร่งพอที่จะเบียดแย่งสกัดบอลกลางอากาศหรือยัง ที่สำคัญ ต้องอย่าลืมว่าทั้ง 3 ทีมที่เดินทางมาในครั้งนี้ ไม่ได้จัดชุดผู้เล่นฟูลทีม เป็นเพียงชุดผสม แข้งตัวหลักโดยเฉพาะศูนย์หน้าและตัวทำเกมคนสำคัญไม่ได้ร่วมลัดฟ้ามาด้วย ดังนั้น ในรอบ 12 ทีม ความเคี่ยวของคู่แข่งจะมีมากกว่านี้แน่นอน
อีกปัญหาที่น่าเป็นห่วง ก็คือ สภาพความฟิตของผู้เล่นของไทย เพราะจากนี้แต่ละคนต้องกลับไปรับใช้สโมสรลงกรำศึกหนักต่อเนื่อง จบแมตช์ทีมชาติวันอาทิตย์ ถัดมาวันพุธเกือบทุกคนก็ต้องลงเล่นกันอีกแล้วในรายการฟุตบอลถ้วย โตโยต้า ลีก คัพ
จากนี้เหลือเวลาอีกประมาณ 2 เดือนครึ่งก่อน การประเดิมสนามรอบ 12 ทีม โดยนัดแรก “ช้างศึก” จะบุกเยือน ซาอุดีอาระเบีย วันที่ 1 กันยายน เชื่อว่า หลังจบศึก คิงส์ คัพ นักเตะทุกคนรู้แก่ใจแล้วว่ายังต้องปรับปรุงในเรื่องใดบ้างหากต้องดวลกับทีมจากโซนอาหรับอีกครั้ง ซึ่งแชมป์ในหลวงที่คว้ามาเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีว่าทีมชาติไทยชุดนี้มีลุ้นแน่นอน
ทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ไม่ทำให้แฟนคลับผิดหวัง โชว์ฟอร์มหรูคว้าแชมป์ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ ครั้งที่ 44 ประจำปี 2559 มาครองได้สำเร็จ ด้วยการปราบยอดทีมจากแดนอาหรับสองนัดรวด ซึ่งนับเป็นนิมิตหมายอันดีในการเตรียมทีมลุยศึก ฟุตบอลโลก2018 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย รอบ 12 ทีมสุดท้าย
ในการคัดฟุตบอลโลก ทีมชาติไทย ต้องปะทะกับทีมจากตะวันออกกลาง ที่อยู่ร่วมกลุ่ม บี ถึง 3ทีม คือ ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และ อิรัก ดังนั้น คิงส์ คัพ ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งมี จอร์แดน, ซีเรีย และ ยูเออี เดินทางมาร่วมฟาดแข้ง จึงเป็นบททดสอบชั้นดีว่าจะมีลุ้นได้ขนาดไหน โดยเฉพาะเกมในบ้านที่ต้องการันตี 3 คะแนนให้ได้
ซึ่งทั้งสองนัดที่ทีมไทยลงสนามต้องบอกว่าได้ประสบการณ์ไปเต็มกระเป๋า โดยเกมแรกกับ ซีเรีย นำก่อนถึงสองลูกจาก ธีรศิลป์ แดงดา และ มงคล ทศไกร แต่กลับแผ่วปลายโดนไล่ตีเสมอ ก่อนที่สุดท้ายจะเฉือนชัยไปอย่างลุ้นระทึกทั้งประเทศในการยิงลูกจุดโทษ ด้วยสกอร์รวม 9-8 (ในเวลา 2-2) ส่วนแมตช์ต่อมาในนัดชิงฯ ปราบ จอร์แดน ไปอย่างไม่ยากเย็น 2-0 จากการเหมาของ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ปีกซ้ายเคราเฟิ้ม
แน่นอนว่า 4 ประตู จาก 2 นัด แสดงให้เห็นว่า เกมรุกของไทยยังคงมีประสิทธิภาพ แม้รูปเกมจะไม่ข่มมิด หรือโชว์ทักษะต่อบอลอันแพรวพราวให้เห็น แต่ในจังหวะสำคัญยังเชื่อขนมกินได้ มีทีเด็ดทีขาดตามแบบฉบับ
ส่วนเกมรับนั้น ต้องยอมรับว่า ยังมีปัญหาอยู่บ้าง โดยเฉพาะการรับมือลูกโด่งจากด้านข้าง และลูกบอมยาวข้ามแผงหลัง การโดน ซีเรีย ไล่เจ๊าใน 90 นาทีแบบนี้ หากเป็นในศึกคัดบอลโลก ถือเป็นความเสียหายใหญ่หลวงหายไป 2 คะแนนฟรี ๆ จากที่ควรจะใช้ความได้เปรียบเก็บ 3 คะแนนในรังจากทีมโซนนี้ให้ได้ชัวร์ ๆ
เรื่องนี้เป็นการบ้านที่ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือใหญ่ต้องกลับไปคิดหนัก ไม้เด็ดเกมรุกจากฟูลแบ็กทั้งสองข้างต้องลดลงหรือไม่ เพื่อมาช่วยปิดการครอสบอลริมเส้นของคู่แข่ง คู่เซ็นเตอร์แกร่งพอที่จะเบียดแย่งสกัดบอลกลางอากาศหรือยัง ที่สำคัญ ต้องอย่าลืมว่าทั้ง 3 ทีมที่เดินทางมาในครั้งนี้ ไม่ได้จัดชุดผู้เล่นฟูลทีม เป็นเพียงชุดผสม แข้งตัวหลักโดยเฉพาะศูนย์หน้าและตัวทำเกมคนสำคัญไม่ได้ร่วมลัดฟ้ามาด้วย ดังนั้น ในรอบ 12 ทีม ความเคี่ยวของคู่แข่งจะมีมากกว่านี้แน่นอน
อีกปัญหาที่น่าเป็นห่วง ก็คือ สภาพความฟิตของผู้เล่นของไทย เพราะจากนี้แต่ละคนต้องกลับไปรับใช้สโมสรลงกรำศึกหนักต่อเนื่อง จบแมตช์ทีมชาติวันอาทิตย์ ถัดมาวันพุธเกือบทุกคนก็ต้องลงเล่นกันอีกแล้วในรายการฟุตบอลถ้วย โตโยต้า ลีก คัพ
จากนี้เหลือเวลาอีกประมาณ 2 เดือนครึ่งก่อน การประเดิมสนามรอบ 12 ทีม โดยนัดแรก “ช้างศึก” จะบุกเยือน ซาอุดีอาระเบีย วันที่ 1 กันยายน เชื่อว่า หลังจบศึก คิงส์ คัพ นักเตะทุกคนรู้แก่ใจแล้วว่ายังต้องปรับปรุงในเรื่องใดบ้างหากต้องดวลกับทีมจากโซนอาหรับอีกครั้ง ซึ่งแชมป์ในหลวงที่คว้ามาเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีว่าทีมชาติไทยชุดนี้มีลุ้นแน่นอน