คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน ราชวังสัน
การที่เราเป็น 1 ใน 12 ทีมที่ได้เข้าสู่ ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 3 เฉียดเข้าใกล้การไปเล่นในรอบสุดท้ายอีกครั้ง ถือว่ามีฝีมืออยู่พอตัวปริ่มๆ แต่เมื่อนำอันดับฟีฟ่ามาเปรียบเทียบกันเราดันกลายเป็นทีมอ่อนที่สุด ความเป็นไปได้ที่ ไทย จะเป็นผู้คว้าตั๋วในโควต้าของเอเชียที่มีให้หยิบ 5 ใบนั้นรับรองได้ว่าไม่มีชาติไหนเขามองเราเลย ถ้าจะเป็น อีหร่าน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อ๊อสตราเลีย ซาอูดี อาราเบีย ยังมีคนคล้อยตามมากกว่า แล้วถ้าต้องการไป ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ใน 5 เดือนที่เหลือนี้ เราควรใช้เวลาช่วงนี้ทำอะไรกันดีครับ
ผมว่าผมเป็นคนแรกที่พูดถึงระบบ “วันทัช” (One-touch football) และพยายามรณรงค์ให้ ทีมชาติไทย เล่นด้วยระบบนี้ให้สมบูรณ์แบบ ผมเคยเขียนในคอลัมน์นี้ในหัวเรื่องว่า “จะไปบอลโลกต้อง วันทัช” เมื่อเกือบ 5 ปีที่แล้ว จนบัดนี้เราก็ยังทำได้ไม่ดีนัก นักเตะรับบอลมาจากเพื่อนยังต้องแก้ไข ต้องปรับ ต้องแต่ง ต้องทำให้เชื่องก่อนที่จะส่งต่อ เป็นอย่างนี้ก็ไม่ทันกิน นี่ยังไม่ต้องพูดถึงการใช้แผนไหนสู้กับทีมคู่แข่งเลย เอาแค่เรื่องทักษะขั้นพื้นฐานที่เป็นมาตรฐานก่อน ซึ่งผมเห็นว่า นักเตะแต่ละคนต้องฝึกฝนตรงนี้ให้มากๆเป็นพิเศษ แถมต้องฝึกกันเป็นทีมด้วย จังหวะไหนทำไม่ได้ก็เจาะจงฝึกมันเข้าไปวันละเป็นร้อยๆหน เดี๋ยวฉ็อทดังกล่าวก็กลายเป็นลูกซ้อมที่คุ้นเคยไปเอง
พื้นฐานของเกมฟุตบอลมันก็คือ การส่งบอลอย่างแม่นยำ การยิงประตูอย่างแม่นยำ เอาให้ถูกที่ถูกเวลา และใช้จังหวะ ใช้เวลาให้น้อยที่สุด อย่ามามัวม้วนไปม้วนมา ยืดยาด ดังนั้นควรเลิกการซ้อมการยิงประตูหรือส่งบอลแบบที่ให้คิดเองสดๆที่เรียกว่า อิมโพรไว้ส์ (improvise) คือต้องซ้อมฉ็อทต่างๆอย่างมีเป้าหมาย รวมทั้งตัวที่ไม่มีบอลต้องมีบทบาทอย่างไร นักเตะได้บอลมาจากทางไหน อย่างไร แล้วต้องส่งบอลอย่างไร ต้องยิงอย่างไร เข้าเป้าหมายตรงจุดใด กำหนดเอาให้ชัดๆกันไปเลย ผมไม่เคยเห็นด้วยกับการฝึกซ้อมที่มักจับนักเตะมายืนเข้าแถว แล้วส่งบอลให้วิ่งลากเข้าไปยิงตรงไหนก็หาช่องกันเอาเองสดๆ มันค่อนข้างจะไร้ประโยชน์และเมื่อถึงสถานการณ์จริงก็จะขาดความแน่นอน
เรื่องแรงปะทะที่เรามักสู้นักเตะต่างชาติไม่ได้ อันนี้อาจเป็นเพราะเราเสียเปรียบในด้านรูปร่าง ภายใน 5 เดือนจะทำอย่างไรส่วนสูงมันก็ไม่เพิ่มขึ้น แต่ผมอยากจะบอกว่ามันก็ยังมีตัวอย่างให้เห็นง่ายๆอีกมากมายที่คนตัวเล็กไม่ได้ด้อยกว่าคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่เลย เขากลับลบเลือนความเสียเปรียบนั้นและเอาชนะได้โดยใช้วิธีการต่างๆกัน เช่น ยูโด ที่อาศัยแรงของคู่ต่อสู้เองที่ถาโถมเข้ามา แล้วพลิกตัวจับทุ่มลงกับพื้น หรือ มวยไทย ที่ใช้วิธีเจาะยางคู่ต่อสู้ที่ตัวสูงกว่า ผมไม่ได้กำลังยุให้นักเตะของเราเตะตัดขาเขาเสียก่อน แต่กำลังชี้ว่า หากใช้ความคิด ทุกอย่างมันมีทางออก มันมีหนทางสู้
เรื่องการเบียด การบัง การเข้าปะทะ การแย่งบอล รวมทั้งการป้องกันคู่แข่งที่ตัวสูงใหญ่กว่าเราเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วงชิงจังหวะและอาจส่งผลได้-เสียกันเลย ดังนั้น นักเตะต้องเรียนรู้การยืนอย่างมีหลักแน่นหนา มั่นคง จะเข้าปะทะอีท่าไหน เข้าประกบอย่างไร เข้าเบียดคู่ต่อสู้อย่างไร ของอย่างนี้ผมเห็นว่าเราต้องให้ความสำคัญและพยายามเสาะหาผู้เชี่ยวชาญมาฝึกมาสอนให้นักเตะไทย ในโลกนี้มันต้องมีจนได้ คนที่สอนการยืน การเบียด การเข้าปะทะที่ได้เปรียบ ก็ถ้ามันจะทำให้โฉมหน้า ทีมชาติไทย พลิกเปลี่ยนไป เอาชนะได้ทุกช่วงการชิงจังหวะ สามารถประกบป้องกันลูกกลางอากาศกับคู่ต่อสู้ที่สูงและแข็งแรงกว่าเรา มันก็ไม่ต้องมาเกรงกลัวเรื่องการเสียเปรียบชาติอื่นๆในด้านสรีระอีกต่อไป จะเสียเงินเป็น 10-20 ล้านก็คุ้มมาก
ผมไม่อยากให้เราเพ้อฝันกับการไปแข่ง ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ในอีก 10 ปีข้างหน้าโดยที่เราไม่ได้มองปัญหาที่แท้จริงว่า มันอยู่ที่เรื่องทักษะพื้นฐานของนักเตะที่ต้องเพิ่มพูน มันอยู่ที่ความแน่นอนที่เกิดจากการฝึกซ้อมแต่ละฉ็อทเป็นประจำ ไม่ใช่คิดเอาสดๆเฉพาะหน้า รวมทั้ง การหาผู้เชี่ยวชาญมาปรับการยืน การขยับตัว การเคลื่อนที่อย่างมีหลักแน่นหนา แล้วคราวนี้ เมื่อศักยภาพของนักเตะทุกคนมีเต็มเพรียบพร้อมสมบูรณ์ เราถึงค่อยมาสู้กันที่การวางแผนการเล่น นี่คือคำแนะนำในการใช้เวลา 5 เดือนที่มีอยู่ในการเตรียมตัวสู้ศึก รอบ 3 ครับ
การที่เราเป็น 1 ใน 12 ทีมที่ได้เข้าสู่ ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 3 เฉียดเข้าใกล้การไปเล่นในรอบสุดท้ายอีกครั้ง ถือว่ามีฝีมืออยู่พอตัวปริ่มๆ แต่เมื่อนำอันดับฟีฟ่ามาเปรียบเทียบกันเราดันกลายเป็นทีมอ่อนที่สุด ความเป็นไปได้ที่ ไทย จะเป็นผู้คว้าตั๋วในโควต้าของเอเชียที่มีให้หยิบ 5 ใบนั้นรับรองได้ว่าไม่มีชาติไหนเขามองเราเลย ถ้าจะเป็น อีหร่าน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อ๊อสตราเลีย ซาอูดี อาราเบีย ยังมีคนคล้อยตามมากกว่า แล้วถ้าต้องการไป ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ใน 5 เดือนที่เหลือนี้ เราควรใช้เวลาช่วงนี้ทำอะไรกันดีครับ
ผมว่าผมเป็นคนแรกที่พูดถึงระบบ “วันทัช” (One-touch football) และพยายามรณรงค์ให้ ทีมชาติไทย เล่นด้วยระบบนี้ให้สมบูรณ์แบบ ผมเคยเขียนในคอลัมน์นี้ในหัวเรื่องว่า “จะไปบอลโลกต้อง วันทัช” เมื่อเกือบ 5 ปีที่แล้ว จนบัดนี้เราก็ยังทำได้ไม่ดีนัก นักเตะรับบอลมาจากเพื่อนยังต้องแก้ไข ต้องปรับ ต้องแต่ง ต้องทำให้เชื่องก่อนที่จะส่งต่อ เป็นอย่างนี้ก็ไม่ทันกิน นี่ยังไม่ต้องพูดถึงการใช้แผนไหนสู้กับทีมคู่แข่งเลย เอาแค่เรื่องทักษะขั้นพื้นฐานที่เป็นมาตรฐานก่อน ซึ่งผมเห็นว่า นักเตะแต่ละคนต้องฝึกฝนตรงนี้ให้มากๆเป็นพิเศษ แถมต้องฝึกกันเป็นทีมด้วย จังหวะไหนทำไม่ได้ก็เจาะจงฝึกมันเข้าไปวันละเป็นร้อยๆหน เดี๋ยวฉ็อทดังกล่าวก็กลายเป็นลูกซ้อมที่คุ้นเคยไปเอง
พื้นฐานของเกมฟุตบอลมันก็คือ การส่งบอลอย่างแม่นยำ การยิงประตูอย่างแม่นยำ เอาให้ถูกที่ถูกเวลา และใช้จังหวะ ใช้เวลาให้น้อยที่สุด อย่ามามัวม้วนไปม้วนมา ยืดยาด ดังนั้นควรเลิกการซ้อมการยิงประตูหรือส่งบอลแบบที่ให้คิดเองสดๆที่เรียกว่า อิมโพรไว้ส์ (improvise) คือต้องซ้อมฉ็อทต่างๆอย่างมีเป้าหมาย รวมทั้งตัวที่ไม่มีบอลต้องมีบทบาทอย่างไร นักเตะได้บอลมาจากทางไหน อย่างไร แล้วต้องส่งบอลอย่างไร ต้องยิงอย่างไร เข้าเป้าหมายตรงจุดใด กำหนดเอาให้ชัดๆกันไปเลย ผมไม่เคยเห็นด้วยกับการฝึกซ้อมที่มักจับนักเตะมายืนเข้าแถว แล้วส่งบอลให้วิ่งลากเข้าไปยิงตรงไหนก็หาช่องกันเอาเองสดๆ มันค่อนข้างจะไร้ประโยชน์และเมื่อถึงสถานการณ์จริงก็จะขาดความแน่นอน
เรื่องแรงปะทะที่เรามักสู้นักเตะต่างชาติไม่ได้ อันนี้อาจเป็นเพราะเราเสียเปรียบในด้านรูปร่าง ภายใน 5 เดือนจะทำอย่างไรส่วนสูงมันก็ไม่เพิ่มขึ้น แต่ผมอยากจะบอกว่ามันก็ยังมีตัวอย่างให้เห็นง่ายๆอีกมากมายที่คนตัวเล็กไม่ได้ด้อยกว่าคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่เลย เขากลับลบเลือนความเสียเปรียบนั้นและเอาชนะได้โดยใช้วิธีการต่างๆกัน เช่น ยูโด ที่อาศัยแรงของคู่ต่อสู้เองที่ถาโถมเข้ามา แล้วพลิกตัวจับทุ่มลงกับพื้น หรือ มวยไทย ที่ใช้วิธีเจาะยางคู่ต่อสู้ที่ตัวสูงกว่า ผมไม่ได้กำลังยุให้นักเตะของเราเตะตัดขาเขาเสียก่อน แต่กำลังชี้ว่า หากใช้ความคิด ทุกอย่างมันมีทางออก มันมีหนทางสู้
เรื่องการเบียด การบัง การเข้าปะทะ การแย่งบอล รวมทั้งการป้องกันคู่แข่งที่ตัวสูงใหญ่กว่าเราเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วงชิงจังหวะและอาจส่งผลได้-เสียกันเลย ดังนั้น นักเตะต้องเรียนรู้การยืนอย่างมีหลักแน่นหนา มั่นคง จะเข้าปะทะอีท่าไหน เข้าประกบอย่างไร เข้าเบียดคู่ต่อสู้อย่างไร ของอย่างนี้ผมเห็นว่าเราต้องให้ความสำคัญและพยายามเสาะหาผู้เชี่ยวชาญมาฝึกมาสอนให้นักเตะไทย ในโลกนี้มันต้องมีจนได้ คนที่สอนการยืน การเบียด การเข้าปะทะที่ได้เปรียบ ก็ถ้ามันจะทำให้โฉมหน้า ทีมชาติไทย พลิกเปลี่ยนไป เอาชนะได้ทุกช่วงการชิงจังหวะ สามารถประกบป้องกันลูกกลางอากาศกับคู่ต่อสู้ที่สูงและแข็งแรงกว่าเรา มันก็ไม่ต้องมาเกรงกลัวเรื่องการเสียเปรียบชาติอื่นๆในด้านสรีระอีกต่อไป จะเสียเงินเป็น 10-20 ล้านก็คุ้มมาก
ผมไม่อยากให้เราเพ้อฝันกับการไปแข่ง ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ในอีก 10 ปีข้างหน้าโดยที่เราไม่ได้มองปัญหาที่แท้จริงว่า มันอยู่ที่เรื่องทักษะพื้นฐานของนักเตะที่ต้องเพิ่มพูน มันอยู่ที่ความแน่นอนที่เกิดจากการฝึกซ้อมแต่ละฉ็อทเป็นประจำ ไม่ใช่คิดเอาสดๆเฉพาะหน้า รวมทั้ง การหาผู้เชี่ยวชาญมาปรับการยืน การขยับตัว การเคลื่อนที่อย่างมีหลักแน่นหนา แล้วคราวนี้ เมื่อศักยภาพของนักเตะทุกคนมีเต็มเพรียบพร้อมสมบูรณ์ เราถึงค่อยมาสู้กันที่การวางแผนการเล่น นี่คือคำแนะนำในการใช้เวลา 5 เดือนที่มีอยู่ในการเตรียมตัวสู้ศึก รอบ 3 ครับ