คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน ราชวังสัน
หลังจากตกอยู่ในยุคมืดและถูกถ่ายทอดสู่ทายาทกันเป็นทอดๆ มาอย่างยาวนาน ในที่สุดสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ก็ได้บุคคลจากต่างขั้ว ต่างเผ่าพันธุ์เข้ามาเป็นผู้นำองค์กร นำกลับเข้าสู่โครงสร้างที่ควรจะเป็นเสียที เป็นการเน้นที่การสร้างความสำเร็จทางกีฬาฟุตบอลให้แก่ประเทศชาติ มากกว่าการเน้นสร้างโครงข่ายเพื่อการครองอำนาจตลอดการของพรรคพวกตน
เบื้องต้น สภากรรมการ ต่างก็มาจากสโมสรต่างๆ ทั้งนั้น แบ่งเฉลี่ยให้ทั่วถึงและกระจัดกระจายอยู่ในลีกหลายระดับชั้น มีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบกันอย่างชัดเจน นอกจากนั้น ยังคิดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาให้มีอำนาจ หน้าที่แค่เป็น ออร์กะนายเซ่อร์ บริหารจัดการการแข่งขัน ไม่ได้มีสิทธิ์ไปยุ่งย่าม กำหนดทิศทางของลีกนั้นๆ จนกลายเป็นอำนาจควบคุม ดูแล อันเป็นอำนาจของสมาคม
ผมมองเห็นปัญหาที่ผ่านมา โดยเฉพาะ ลีกภูมิภาค ดิวิเชิ่น 2 มีการจัดดำเนินการเป็นเอกเทศ มีประธานลีกมีอำนาจใหญ่โต มีระเบียบ ข้อบังคับเป็นของตนเอง แล้วเลือกตัวแทนของแต่ละภาครวมแล้วถึง 30 เสียง ซึ่งมีคนอ้างอยู่ตลอดเวลาว่า สมาคมฯ เข้าไปก้าวก่ายไม่ได้เด็ดขาด ไม่อยู่ภายใต้อำนาจของสมาคมฯ ราวกับว่าเป็น รัฐอิสระ
หากปล่อยให้ ลีกภูมิภาค เป็นไปในแนวทางนี้ต่อไป มันง่ายมากที่บุคคลที่เป็น ประธานลีก ที่ตนแต่งตั้งเข้ามานั่นแหละจะกลายเป็น คีย์แมน ที่คุมเสียงถึง 30 เสียง คนๆนี้จะเป็นผู้ให้ประโยชน์แก่ทีมที่เป็นพรรคพวกของตนอย่างเหนียวแน่น และกาหัวหรือให้โทษแก่ทีมที่บังอาจแตกเหล่าหรือโต้แย้งไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ถือว่าคุมเสียงอยู่ในกำมือเกือบครึ่งหนึ่งของเสียงโหวททั้งหมด 72 เสียงในสมาคม อันจะเป็นผลให้เกิดการล๊อคโหวทได้ง่าย หาอีกเพียงแค่ 7 เสียงจากลีกระดับอื่นๆก็กุมเสียงข้างมากได้อย่างเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด จะดำเนินการใดๆ ดีหรือไม่ดี ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง อย่าไปสนใจ ชนะแน่นอนอยู่แล้ว โดยเฉพาะ การเลือกตั้ง ก็ผูกขาดเป็น นายกสมาคมฯ จนตายคาตำแหน่ง
นอกจากนั้น ผมยังเห็นว่า การที่ลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 มีเสียงมากมายถึง 30 เสียง ในขณะที่ โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก และ ยามาฮ่า ลีก วัน ต่างก็มีแค่ลีกละ 18 เสียงเท่านั้น ทำให้กลายเป็น ลีกต่ำสุด ลงทุนน้อยนิด ฝีเท้าต่ำชั้นกว่า แต่กลับมีอาญาสิทธิ์เป็นผู้ชี้เป็นชี้ตาย กำหนดทิศทางของ ฟุตบอลไทย ดังนั้น ควรมีการแก้ไขให้ลีกแต่ละระดับชั้นต่างก็มีเสียงโหวทจำนวนเท่าๆกัน มีพลังเสียงที่สมดุลกัน น่าจะเหมาะสมกว่า
หากทำได้เช่นนี้ ต่อไปผลงานในการบริหารงานสมาคมฯ ความโปร่งใส การดำเนินงานของลีกระดับต่างๆ การจัดการแข่งขันเรียบร้อย บริสุทธิ์ ยุติธรรม รวมทั้ง ผลงานของทีมชาติ คงจะเป็นดัชนีชี้วัดความสามารถของผู้บริหารได้อย่างแท้จริง ใครจะได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาบริหารงานสมาคมฯ ก็ดูกันที่ตรงนี้ มิใช่ขึ้นอยู่กับสิ่งจอมปลอมที่ถูกสร้างขึ้นมาผูกล๊อคอำนาจไว้กับตนตลอดกาลอย่างที่ผ่านมาครับ
หลังจากตกอยู่ในยุคมืดและถูกถ่ายทอดสู่ทายาทกันเป็นทอดๆ มาอย่างยาวนาน ในที่สุดสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ก็ได้บุคคลจากต่างขั้ว ต่างเผ่าพันธุ์เข้ามาเป็นผู้นำองค์กร นำกลับเข้าสู่โครงสร้างที่ควรจะเป็นเสียที เป็นการเน้นที่การสร้างความสำเร็จทางกีฬาฟุตบอลให้แก่ประเทศชาติ มากกว่าการเน้นสร้างโครงข่ายเพื่อการครองอำนาจตลอดการของพรรคพวกตน
เบื้องต้น สภากรรมการ ต่างก็มาจากสโมสรต่างๆ ทั้งนั้น แบ่งเฉลี่ยให้ทั่วถึงและกระจัดกระจายอยู่ในลีกหลายระดับชั้น มีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบกันอย่างชัดเจน นอกจากนั้น ยังคิดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาให้มีอำนาจ หน้าที่แค่เป็น ออร์กะนายเซ่อร์ บริหารจัดการการแข่งขัน ไม่ได้มีสิทธิ์ไปยุ่งย่าม กำหนดทิศทางของลีกนั้นๆ จนกลายเป็นอำนาจควบคุม ดูแล อันเป็นอำนาจของสมาคม
ผมมองเห็นปัญหาที่ผ่านมา โดยเฉพาะ ลีกภูมิภาค ดิวิเชิ่น 2 มีการจัดดำเนินการเป็นเอกเทศ มีประธานลีกมีอำนาจใหญ่โต มีระเบียบ ข้อบังคับเป็นของตนเอง แล้วเลือกตัวแทนของแต่ละภาครวมแล้วถึง 30 เสียง ซึ่งมีคนอ้างอยู่ตลอดเวลาว่า สมาคมฯ เข้าไปก้าวก่ายไม่ได้เด็ดขาด ไม่อยู่ภายใต้อำนาจของสมาคมฯ ราวกับว่าเป็น รัฐอิสระ
หากปล่อยให้ ลีกภูมิภาค เป็นไปในแนวทางนี้ต่อไป มันง่ายมากที่บุคคลที่เป็น ประธานลีก ที่ตนแต่งตั้งเข้ามานั่นแหละจะกลายเป็น คีย์แมน ที่คุมเสียงถึง 30 เสียง คนๆนี้จะเป็นผู้ให้ประโยชน์แก่ทีมที่เป็นพรรคพวกของตนอย่างเหนียวแน่น และกาหัวหรือให้โทษแก่ทีมที่บังอาจแตกเหล่าหรือโต้แย้งไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ถือว่าคุมเสียงอยู่ในกำมือเกือบครึ่งหนึ่งของเสียงโหวททั้งหมด 72 เสียงในสมาคม อันจะเป็นผลให้เกิดการล๊อคโหวทได้ง่าย หาอีกเพียงแค่ 7 เสียงจากลีกระดับอื่นๆก็กุมเสียงข้างมากได้อย่างเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด จะดำเนินการใดๆ ดีหรือไม่ดี ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง อย่าไปสนใจ ชนะแน่นอนอยู่แล้ว โดยเฉพาะ การเลือกตั้ง ก็ผูกขาดเป็น นายกสมาคมฯ จนตายคาตำแหน่ง
นอกจากนั้น ผมยังเห็นว่า การที่ลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 มีเสียงมากมายถึง 30 เสียง ในขณะที่ โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก และ ยามาฮ่า ลีก วัน ต่างก็มีแค่ลีกละ 18 เสียงเท่านั้น ทำให้กลายเป็น ลีกต่ำสุด ลงทุนน้อยนิด ฝีเท้าต่ำชั้นกว่า แต่กลับมีอาญาสิทธิ์เป็นผู้ชี้เป็นชี้ตาย กำหนดทิศทางของ ฟุตบอลไทย ดังนั้น ควรมีการแก้ไขให้ลีกแต่ละระดับชั้นต่างก็มีเสียงโหวทจำนวนเท่าๆกัน มีพลังเสียงที่สมดุลกัน น่าจะเหมาะสมกว่า
หากทำได้เช่นนี้ ต่อไปผลงานในการบริหารงานสมาคมฯ ความโปร่งใส การดำเนินงานของลีกระดับต่างๆ การจัดการแข่งขันเรียบร้อย บริสุทธิ์ ยุติธรรม รวมทั้ง ผลงานของทีมชาติ คงจะเป็นดัชนีชี้วัดความสามารถของผู้บริหารได้อย่างแท้จริง ใครจะได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาบริหารงานสมาคมฯ ก็ดูกันที่ตรงนี้ มิใช่ขึ้นอยู่กับสิ่งจอมปลอมที่ถูกสร้างขึ้นมาผูกล๊อคอำนาจไว้กับตนตลอดกาลอย่างที่ผ่านมาครับ