คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน ราชวังสัน
เมื่อเศรษฐกิจของทางฝั่งยุโรปและอเมริกาตกอยู่ในสภาวะถดถอยอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา มันช่างเป็นโอกาสที่เหมาะเจาะสำหรับ จีน ยักษ์ใหญ่แห่งทวีปเอเชีย ที่จะต้องตื่น เพื่อถีบตนเองขึ้นมาเป็นผู้นำเศรษฐกิจของโลกอย่างแท้จริง แม้ว่าความพยายามของชาติที่มีประชากรมากที่สุดในโลกนี้จะถูกขัดขวางด้วยหลากวิธี แต่ในท้ายสุด ก็ไม่อาจมีใครหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงที่จะต้องเกิดขึ้นได้ นอกจากจะครองความเป็นจ้าวแห่งการผลิตของโลกแล้ว ในส่วนของวงการกีฬา จีน ก็กำลังก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ที่จะพาตนเองไปสู่การเป็นตัวละครหลักของ วงการฟุตบอลของโลก
เคยมีคนพูดถึงการซื้อ-ขาย ลีกฟุตบอล ทั้งลีก ซึ่งเรื่องนี้ถ้าเป็นใน สหรัฐอเมริกา คงไม่มีใครรู้สึกประหลาดใจ เพราะ ลีก มันก็เป็นเพียงองค์กรที่ดำเนินการบริหารจัดการนำทีมต่างๆมาทำการแข่งขันกัน ไม่ต่างกับการขายสัมปทาน ขายสิทธิ์การเป็นผู้แทนจำหน่าย การขายแฟรนชายส์ ซึ่งก็เหมือนกับการซื้อ-ขายบริษัทนั่นเอง แต่ในทวีปยุโรปนั้น โครงสร้างของลีกฟุตบอลอาชีพมีความสลับซับซ้อน แตกต่างกัน มีการแบ่งเป็นดิวิเชิ่น เชื่อมโยงไปถึงทีมสมัครเล่น มีการขึ้นชั้น ตกชั้น ซึ่งทำให้แนวคิดเรื่องการซื้อ-ขายลีก กลายเป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ เหมือนการนำเอาสมบัติส่วนรวมไปขายเลยทีเดียว
ถึงกระนั้น บางชาติในทวีปยุโรปก็มีพฤติกรรมในการกินอยู่ ใช้ชีวิต ใช้จ่ายเงินทองเกินกว่าที่ตนหามาได้อยู่นานปี จนมีหนี้สินพอกพูน สุดท้ายก็ต้องนำทรัพย์สินที่ถือว่าเป็นสมบัติส่วนรวมออกขาย อย่างเช่น กรีซ ที่ในเวลานี้ต้องขายท่าเรือ สนามบิน และเกาะ เป็นต้น เพื่อพยายามลดหนี้ของตนเอง ในวงการฟุตบอลนั้น ชาติที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจไม่มากเท่า กรีซ แต่สโมสรฟุตบอลชั้นนำในลีกของตนกลับแบกหนี้สินอย่างบักโกรกก็คือ ปอรตูเกา โดย เบนฟีกา มีหนี้สินถึง 450 ล้าน ยูโร และ ปอรโต มีหนี้สิน 210 ล้าน ยูโร
สถานการณ์ย่ำแย่ทางเศรษฐกิจในวงการฟุตบอลของ ปอรตูเกา ลุกลามไปในดิวิเชิ่น 2 ด้วย ทำให้ต้องตัดสินใจรับเงินทุนจาก Ledman บริษัทผลิตไฟ LED ของ จีน โดยให้เข้ามาในฐานะผู้สนับสนุนหลัก เป็น Title sponsor นี่ถือเป็นรายแรกของ จีน เลย ดังนั้น ดิวิเชิ่น 2 ของ ปอรตูเกา ต่อไปจะใช้ชื่อ Ledman Proliga ซึ่งนอกจาก Ledman จะได้สิทธิ์ทางธุรกิจต่างๆมากมายแล้ว ยังพ่วงเงื่อนไขให้ทาง ปอรตูเกา ต้องรับนักเตะจีนจำนวน 10 คนเข้ามาค้าแข้งในสโมสรที่อยู่ใน 10 อันดับแรกของลีกดังกล่าว แถมด้วยผู้ช่วยผู้ฝึกสอนอีก 3 คน อันนี้ ทาง จีน มองประโยชน์ในการเพิ่มพูนทักษะ ฝีเท้า ประสบการณ์ให้แก่นักเตะของตนล้วนๆ ซึ่งก็จะส่งผลต่อไปสู่การยกระดับฟุตบอลของชาติ
เท่าที่ผมจำได้ จีน เคยได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย เพียงหนเดียวในปี 2002 จากนั้นก็ห่างหายไป นี่จึงเป็นเหตุให้ จีน กำลังพยายามเดินหน้าพัฒนาวงการฟุตบอลของตนเองอย่างชาญฉลาดอย่างน้อยก็ 2 ทางหลักๆคือ นอกจากจะบังคับส่งนักเตะและผู้ช่วยโค้ชของตนออกไปหาประสบการณ์แล้ว ฟุตบอลภายในประเทศก็กำลังค่อยๆได้รับการพัฒนา ชายนี้ส ซุพเพ่อร์ ลีก (Chinese Super League) ที่ก่อนหน้านี้ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดโทรทัศน์เพียงปีละ 11.2 ล้าน ยูโร หรือประมาณ 440 ล้านบาท แต่นับตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นไป ราคาลิขสิทธิ์ดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นถึง 25 เท่า นั่นคือ 280 ล้าน ยูโร หรือประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท โดย จีน คาดว่าเมื่อมีเม็ดเงินถูกใส่ลงมาจำนวนมากก็ย่อมทำให้ ชายนี้ส ซุพเพ่อร์ ลีก เป็นที่สนใจและดึงดูดนักเตะดีๆจากทั่วโลกเข้ามาค้าแข้งอย่างมากมาย เป็นโอกาสให้นักเตะจีนภายในประเทศได้พัฒนาฝีเท้าของตน ซึ่งก็จะส่งผลให้ลีกถูกยกระดับให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ต่อไปนักเตะจีนอาจจะเป็นที่ต้องการของลีกฟุตบอลดังๆของโลกโดยไม่ต้องพ่วงไปกับสปอนเซ่อร์อีกต่อไป
ผมเห็นไทยเรามีแต่เสียเงินซื้อลิขสิทธิ์ เพรอมิเอ ลีก ของ อังกฤษ ด้วยราคาแพงมหาศาลเข้ามาฉาย ทั้งๆที่ฟุตบอลของเขาก็ไปไม่ถึงแช้มพ์โลกมาครึ่งศตวรรษแล้ว บรรดาเหล้า เบียร์ สินค้าปลอดภาษี สายการบิน ของเราก็ยังไปเป็นผู้สนับสนุนสโมสรต่างๆของเขาอีกปีละมากมาย แต่สปอนเซ่อร์เหล่านั้นไม่ยักนึกฉลาดพ่วงอะไรที่มันเป็นผลประโยชน์กับประเทศชาติเข้าไปบ้างเลย หรือสิ่งเหล่านี้มันไม่ได้เพิ่มยอดขายให้ตนเอง มันจึงถือว่าเป็นที่สิ่งไร้ประโยชน์ทางการค้าครับ
เมื่อเศรษฐกิจของทางฝั่งยุโรปและอเมริกาตกอยู่ในสภาวะถดถอยอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา มันช่างเป็นโอกาสที่เหมาะเจาะสำหรับ จีน ยักษ์ใหญ่แห่งทวีปเอเชีย ที่จะต้องตื่น เพื่อถีบตนเองขึ้นมาเป็นผู้นำเศรษฐกิจของโลกอย่างแท้จริง แม้ว่าความพยายามของชาติที่มีประชากรมากที่สุดในโลกนี้จะถูกขัดขวางด้วยหลากวิธี แต่ในท้ายสุด ก็ไม่อาจมีใครหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงที่จะต้องเกิดขึ้นได้ นอกจากจะครองความเป็นจ้าวแห่งการผลิตของโลกแล้ว ในส่วนของวงการกีฬา จีน ก็กำลังก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ที่จะพาตนเองไปสู่การเป็นตัวละครหลักของ วงการฟุตบอลของโลก
เคยมีคนพูดถึงการซื้อ-ขาย ลีกฟุตบอล ทั้งลีก ซึ่งเรื่องนี้ถ้าเป็นใน สหรัฐอเมริกา คงไม่มีใครรู้สึกประหลาดใจ เพราะ ลีก มันก็เป็นเพียงองค์กรที่ดำเนินการบริหารจัดการนำทีมต่างๆมาทำการแข่งขันกัน ไม่ต่างกับการขายสัมปทาน ขายสิทธิ์การเป็นผู้แทนจำหน่าย การขายแฟรนชายส์ ซึ่งก็เหมือนกับการซื้อ-ขายบริษัทนั่นเอง แต่ในทวีปยุโรปนั้น โครงสร้างของลีกฟุตบอลอาชีพมีความสลับซับซ้อน แตกต่างกัน มีการแบ่งเป็นดิวิเชิ่น เชื่อมโยงไปถึงทีมสมัครเล่น มีการขึ้นชั้น ตกชั้น ซึ่งทำให้แนวคิดเรื่องการซื้อ-ขายลีก กลายเป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ เหมือนการนำเอาสมบัติส่วนรวมไปขายเลยทีเดียว
ถึงกระนั้น บางชาติในทวีปยุโรปก็มีพฤติกรรมในการกินอยู่ ใช้ชีวิต ใช้จ่ายเงินทองเกินกว่าที่ตนหามาได้อยู่นานปี จนมีหนี้สินพอกพูน สุดท้ายก็ต้องนำทรัพย์สินที่ถือว่าเป็นสมบัติส่วนรวมออกขาย อย่างเช่น กรีซ ที่ในเวลานี้ต้องขายท่าเรือ สนามบิน และเกาะ เป็นต้น เพื่อพยายามลดหนี้ของตนเอง ในวงการฟุตบอลนั้น ชาติที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจไม่มากเท่า กรีซ แต่สโมสรฟุตบอลชั้นนำในลีกของตนกลับแบกหนี้สินอย่างบักโกรกก็คือ ปอรตูเกา โดย เบนฟีกา มีหนี้สินถึง 450 ล้าน ยูโร และ ปอรโต มีหนี้สิน 210 ล้าน ยูโร
สถานการณ์ย่ำแย่ทางเศรษฐกิจในวงการฟุตบอลของ ปอรตูเกา ลุกลามไปในดิวิเชิ่น 2 ด้วย ทำให้ต้องตัดสินใจรับเงินทุนจาก Ledman บริษัทผลิตไฟ LED ของ จีน โดยให้เข้ามาในฐานะผู้สนับสนุนหลัก เป็น Title sponsor นี่ถือเป็นรายแรกของ จีน เลย ดังนั้น ดิวิเชิ่น 2 ของ ปอรตูเกา ต่อไปจะใช้ชื่อ Ledman Proliga ซึ่งนอกจาก Ledman จะได้สิทธิ์ทางธุรกิจต่างๆมากมายแล้ว ยังพ่วงเงื่อนไขให้ทาง ปอรตูเกา ต้องรับนักเตะจีนจำนวน 10 คนเข้ามาค้าแข้งในสโมสรที่อยู่ใน 10 อันดับแรกของลีกดังกล่าว แถมด้วยผู้ช่วยผู้ฝึกสอนอีก 3 คน อันนี้ ทาง จีน มองประโยชน์ในการเพิ่มพูนทักษะ ฝีเท้า ประสบการณ์ให้แก่นักเตะของตนล้วนๆ ซึ่งก็จะส่งผลต่อไปสู่การยกระดับฟุตบอลของชาติ
เท่าที่ผมจำได้ จีน เคยได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย เพียงหนเดียวในปี 2002 จากนั้นก็ห่างหายไป นี่จึงเป็นเหตุให้ จีน กำลังพยายามเดินหน้าพัฒนาวงการฟุตบอลของตนเองอย่างชาญฉลาดอย่างน้อยก็ 2 ทางหลักๆคือ นอกจากจะบังคับส่งนักเตะและผู้ช่วยโค้ชของตนออกไปหาประสบการณ์แล้ว ฟุตบอลภายในประเทศก็กำลังค่อยๆได้รับการพัฒนา ชายนี้ส ซุพเพ่อร์ ลีก (Chinese Super League) ที่ก่อนหน้านี้ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดโทรทัศน์เพียงปีละ 11.2 ล้าน ยูโร หรือประมาณ 440 ล้านบาท แต่นับตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นไป ราคาลิขสิทธิ์ดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นถึง 25 เท่า นั่นคือ 280 ล้าน ยูโร หรือประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท โดย จีน คาดว่าเมื่อมีเม็ดเงินถูกใส่ลงมาจำนวนมากก็ย่อมทำให้ ชายนี้ส ซุพเพ่อร์ ลีก เป็นที่สนใจและดึงดูดนักเตะดีๆจากทั่วโลกเข้ามาค้าแข้งอย่างมากมาย เป็นโอกาสให้นักเตะจีนภายในประเทศได้พัฒนาฝีเท้าของตน ซึ่งก็จะส่งผลให้ลีกถูกยกระดับให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ต่อไปนักเตะจีนอาจจะเป็นที่ต้องการของลีกฟุตบอลดังๆของโลกโดยไม่ต้องพ่วงไปกับสปอนเซ่อร์อีกต่อไป
ผมเห็นไทยเรามีแต่เสียเงินซื้อลิขสิทธิ์ เพรอมิเอ ลีก ของ อังกฤษ ด้วยราคาแพงมหาศาลเข้ามาฉาย ทั้งๆที่ฟุตบอลของเขาก็ไปไม่ถึงแช้มพ์โลกมาครึ่งศตวรรษแล้ว บรรดาเหล้า เบียร์ สินค้าปลอดภาษี สายการบิน ของเราก็ยังไปเป็นผู้สนับสนุนสโมสรต่างๆของเขาอีกปีละมากมาย แต่สปอนเซ่อร์เหล่านั้นไม่ยักนึกฉลาดพ่วงอะไรที่มันเป็นผลประโยชน์กับประเทศชาติเข้าไปบ้างเลย หรือสิ่งเหล่านี้มันไม่ได้เพิ่มยอดขายให้ตนเอง มันจึงถือว่าเป็นที่สิ่งไร้ประโยชน์ทางการค้าครับ