เอเยนซี - ตอนนี้ใครได้ยินประโยคที่ว่า “เลสเตอร์ ซิตี จะคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก?” คงต้องหยุดคิดสักนิดก่อนที่จะหัวเราะ เพราะผลงานล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมาเปิด คิง พาวเวอร์ สเตเดียม เฉือนชนะแชมป์เก่า เชลซี 2-1 กลับไปนั่งจ่าฝูงอีกครั้งด้วยการทิ้ง อาร์เซนอล 2 แต้มเมื่อผ่านพ้นโปรแกรม 16 นัด
“เดลี เมล” สื่อดังของอังกฤษ จึงยกเหตุผลที่สนับสนุนว่า เลสเตอร์ สามารถคว้าแชมป์ลีกปีนี้ เพราะที่ผ่านมาบรรดาลีกชั้นนำของยุโรปก็เคยมีสโมสรที่ต่างไม่มีใครคาดฝันก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์แล้ว อาทิ เวโรนา กัลโช เซเรีย อา อิตาลี ปี 1985, แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส พรีเมียร์ ลีก ปี 1995, โวล์ฟสบวร์ก บุนเดสลีกา เยอรมัน ปี 2009, ทเวนเต เอเรดิวีซี ลีก ดัตช์ ปี 2010 และ มงต์เปลิเยร์ ลีก เอิง ฝรั่งเศส ปี 2012
คุณภาพ - ตอนนี้ไม่มีทีมไหนยิงเยอะกว่า เลสเตอร์ ที่ซัดไปแล้ว 34 ประตูจาก 16 นัด เจมี วาร์ดี กองหน้าทีมชาติอังกฤษ นำดาวซัลโวด้วยจำนวน 15 ประตู โดยมี ริยาด มาห์เรซ มิดฟิลด์แอลจีเรีย ตามมาติดๆ ที่ 11 ประตู รวมกัน 26 ประตูมากกว่า คริสเตียโน โรนัลโด, แกเร็ธ เบล และ คาริม เบนเซมา 3 แนวรุกระดับพระกาฬของ รีล มาดริด ด้วยซ้ำ มีคนยิงก็ต้องมีคนป้อนกองกลางขับเคลื่อนโดย มาห์เรซ 7 แอสซิสต์ส ตามด้วย มาร์ค อัลไบรท์ตัน 6 แอสซิสต์ส มี เอ็น'โกโล คานเต กับ แดนนี ดริงก์วอเตอร์ คอยเก็บกวาด โดยเฉพาะรายหลังวัย 25 ปีมีลุ้นติดธง “สิงโตคำราม” ไปลุยศึก ยูโร 2016 ในยุคคุมทัพของ รอย ฮ็อดจ์สัน ที่เปิดโอกาสพอสมควร แนวรับก็ใช่ย่อยแกนหลักคือ เวส มอร์แกน, โรเบิร์ต ฮูธ และ แคสเปอร์ ชไมเคิล ที่เสียแค่ 5 ประตูจาก 7 เกมแถมคลีนชีตถึง 3 นัด
คู่แข่งสะดุด - แชมป์เก่า เชลซี ฟอร์มดร็อปเป็นประวัติการณ์สิ่งนี้จะทำให้ เลสเตอร์ ได้ประโยชน์ เพราะเหมือนโรคติดต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี แพ้มากสุดเมื่อเทียบกับทีมหัวตารางด้วยกัน 4 นัดแล้ว แถมมีปัจจัยที่จะเสียอีกกับการไร้หัวใจแดนหลังอย่าง แวงซองต์ กอมปานี ที่บาดเจ็บ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสียน้อยที่สุดในลีก 12 ประตูแต่ยิงใครก็ยากเหมือนกันอีกทั้งไม่มีทีมไหนท้าทายแชมป์ด้วยสถิติยิง 1.3 ลูกต่อเกม ด้าน อาร์เซนอล ปัญหานักเตะเจ็บและตอนนี้คือช่วงที่สะดุดทำแต้มหล่นแทบทุกปี ลิเวอร์พูล ในยุคของ เจอร์เกน คล็อปป์ แพ้ไปแค่นัดเดียว แต่ยังคงแกว่ง ปิดท้ายที่ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ควรจะชนะมากกว่านี้แพ้นัดเดียวก็จริงแต่เสมอไปถึง 8 นัดมากที่สุดคงต้องแก้ปัญหานี้โดยเร็วที่สุด เทียบกันย้อนไปช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เชลซี นำด้วยการมี 36 แต้ม
ไม่ต้องเล่นยุโรป - หลุยส์ ฟาน กัล นายใหญ่ แมนฯยู คร่ำครวญเหลือเกินกับการเล่นเกมลีกวันเสาร์พักวันอาทิตย์วันจันทร์เดินทางเตะ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก วันอังคาร ซึ่ง เชลซี, แมนฯซิตี, อาร์เซนอล, ลิเวอร์พูล และ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ต้องเผชิญสถานการณ์คล้ายๆ กันรวมถ้วย ยูโรปา ลีก ด้งนั้น เลสเตอร์ จะใช้ประโยชน์ตรงจุดนี้จัดแต่งทัพให้นักเตะฟื้นตัวช่วงกลางสัปดาห์
ความพร้อมของทีม - หากโชคร้าย วาร์ดี ไม่สามารถยืนระยะได้ตลอดฤดูกาลหรือมีอาการบาดเจ็บ รานิเอรี ยังมีตัวเลือกแดนหน้าอย่าง ชินจิ โอกาซากิ หอกที่ยิง 47 ประตูจาก 96 นัดให้ทีมชาติญี่ปุ่นที่เพิ่งย้ายมาเมื่อซัมเมอร์ แถมประสบการณ์เล่นบนเวที บุนเดสลีกา เยอรมนี ยิงเลข 2 หลัก 2 ปีติดให้กับ ไมนซ์ 05 นอกจากนี้มี เลโอนาร์โด อุลลัว ปีที่แล้วซัด 11 ลูกในลีก ไม่นับสำรองดีกรีทีมชาติโครเอเชียอย่าง อันเดรจ ครามาริช ที่ เชลซี เคยอยากได้ โดยยิง 35 ประตูจาก 29 นัดให้ ริเยกา ก่อนหอบผ้าหอบผ่อนมาอังกฤษ มาดูกองกลางความเก๋าของ ก็อคคาน อินเลอร์ ล้นปรี่แบบไม่ต้องพูดถึง 8 ปีกับ อูดิเนเซ และ อินเตอร์ มิลาน กองหลังมี โยฮัน เบนาลูยาน ที่เคยเล่น กัลโช เซเรีย อา อิตาลี รวมถึงแบ็กเพียยอย่าง แดนนี ซิมป์สัน, คริสเตียน ฟุชส์ และ ริทชี เดอ แลท
ทีมสปิริต - อาจมองเป็นเรื่องตลกกับการที่แข้ง เลสเตอร์ พร้อมใจสวมชุดซูเปอร์ฮีโรไปปาร์ตีคริสต์มาสล่วงหน้าที่กรุงโคเปนเฮเกน แต่แสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันไม่มีการแยกตัวของซุปสตาร์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ผ่านช่วงปลายปีที่แล้วที่รอดตกชั้นแบบเหลือเชื่อ 10 นัดชนะถึง 7 นัด ปีนี้ มาห์เรซ ก็ให้ วาร์ดี ซัดจุดโทษเกมชนะ วัตฟอร์ด 2-1 เพื่อลุ้นสถิติยิงติดต่อกัน หลายคนเล่นด้วยตั้งแต่เวที เดอะ แชมเปียนชิป
แต่จากนี้ เลสเตอร์ ต้องทำผลงานให้คงเส้นคงวา โดยจากการวิเคราะห์อีก 22 นัดที่เหลือจำต้องเก็บ 2.13 แต้มต่อเกมเพื่อให้จบที่ 81 แต้ม ซึ่งหมายถึงแต้มเฉลี่ยทีมที่จะคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก คิดจาก 3 ปีหลังสุดคือ เชลซี 87 แต้ม, แมนฯซิตี 86 แต้ม และ แมนฯซิตี 89 แต้ม ซึ่งที่ผ่านมา 81 แต้มก็เพียงพอมีถึง 5 ซีซันที่สามารถเป็นแชมป์ได้คือ แมนฯยู 2010-11 (80 แต้ม) 2000-01 (80 แต้ม) 1998-99 (79 แต้ม) 1996-97 (75 แต้ม) และ อาร์เซนอล 1997-98 (78 แต้ม)
ส่วนโปรแกรม 3 นัดส่งท้ายปี 2015 ของ เลสเตอร์ ถือว่าเป็นบทพิสูจน์เริ่มจากไปเยือน เอฟเวอร์ตัน วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคมนี้ตามด้วยบุกถิ่น แอนฟิลด์ ของ ลิเวอร์พูล และปิดท้ายที่เฝ้าบ้านรับมือ แมนฯซิตี