ผู้จัดการรายวัน 360 – ศึก โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก 2015 เข้มข้นจนถึงนัดสุดท้าย โดยหัวตารางมี 4 ทีมกำลังลุ้นแย่งตั๋วใบสุดท้ายไปเล่น เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก โดยมี สุพรรณบุรี เอฟซี เป็นตัวเต็ง ขณะที่ท้ายตารางมีถึง 5 ทีมที่คะแนนไล่เลี่ยกันและต้องหนีตายสุดชีวิต เพราะยังเหลือโควตาตกชั้นอีก 2 ที่นั่ง ทั้งทีมดังอย่าง บีอีซี เทโรศาสน และการท่าเรือ เอฟซี ซึ่งทุกคู่จะฟาดแข้งพร้อมกันวันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม นี้ เวลา 18.00 น.
ในส่วนหัวตาราง เหลือตั๋วลุยศึก “เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก 2016 รอบเพลย์ออฟ รอบ 2” ให้ได้แย่งชิงอีก 1 ใบ โดยมีอันดับ 3-6 ที่ต้องขับเคี่ยวกัน คือ สุพรรณบุรี เอฟซี (58 คะแนน) ชลบุรี เอฟซี (57 คะแนน) แบงค็อก ยูไนเต็ด (57 คะแนน) และบางกอกกล๊าส เอฟซี (55 คะแนน) ซึ่ง “ช้างศึกยุทธหัตถี” โอกาสใสกว่าเพื่อน เพียงเปิดบ้านชนะ โอสถสภา เอ็ม-150 สมุทรปราการ ที่ไม่มีอะไรให้ลุ้นแล้วก็จะลอยลำทันที ส่วน “ฉลามชล” กับ “แข้งเทพ” แม้จะเล่นในรังแต่เจอทีมหนีตายทั้งคู่คือ สระบุรี เอฟซี กับ ชัยนาท ฮอร์นบิล ขณะที่ “บีจี” ต้องบุกเยือน ศรีสะเกษ เอฟซี
สำหรับเกณฑ์การจัดอันดับกรณีมีมากกว่า 1 ทีมที่คะแนนเท่ากันจะเรียงดังนี้ 1.วัดเฮดทูเฮด เฉพาะทีมที่มีคะแนนเท่ากันโดยไม่นับอเวย์โกล (กรณีมีทีมคะแนนเท่ากันมากกว่า 2 ทีมจะวัดกันในระบบมินิลีก) 2.วัดผลต่างประตูได้-เสียของทีมที่มีคะแนนเท่ากัน 3.วัดเฉพาะประตูได้ของทีมที่มีคะแนนเท่ากัน 4.วัดผลต่างประตู-ได้เสียของทั้งฤดูกาล 5.วัดเฉพาะประตูได้ของทั้งฤดูกาล สุดท้ายหากยังตัดสินไม่ได้ให้แข่งใหม่ที่สนามกลาง1นัด
สถานการณ์ตอนนี้ บางกอกกล๊าส โอกาสน้อยสุด ต้องชนะสถานเดียว และลุ้นให้มีแต้มบนตารางคะแนนเป็นผู้นำเท่ากับ สุพรรณบุรี และ ชลบุรี ที่ 35 คะแนน โดยตัด แบงค็อก ออกไป ซึ่งจะทำให้ “บีจี” เป็นผู้ชนะในมินิลีก ขณะที่ "ฉลามชล" เฮดทูเฮดและมินิลีกดีกว่าเพื่อน ลุ้นให้สพรรณบุรีชวดชัยเป็นด่านแรก
ทั้งนี้หากท้ายสุดแล้วเป็น แบงค็อก สุพรรณบุรี และบางกอกกล๊าส ที่คะแนนเท่ากัน ผลในมินิลีกจะเป็น “แข้งเทพ” ที่เข้าวิน แต่ถ้าแบงค็อก ต้องวัดเฮดทูเฮดกับสุพรรณบุรีเพียงสองทีม จะเป็น “ช้างศึกยุทธหัตถี” ที่ดีกว่า
ขณะที่ท้ายตารางถือเป็นไฮไลท์สำคัญ เพราะมีถึง 5 ทีม คือ อันดับ 13-17 ที่กำลังดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อหลีกหนีตั๋ว 2 ใบสุดท้ายที่จะตาม ทีโอที เอสซี ตกชั้นลงไปลีกรอง ซึ่งแต่ละทีมมีแต้มไล่เลี่ยกันและยังเจอโปรแกรมโหดพอๆกัน ประกอบด้วย ชัยนาท (34 คะแนน / เยือน แบงค็อก) การท่าเรือ เอฟซี (33 คะแนน / เหย้า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) บีอีซี เทโรศาสน (32 คะแนน / เยือน เชียงราย ยูไนเต็ด) สระบุรี (32 คะแนน / เยือน ชลบุรี) และราชนาวี (32 คะแนน / เหย้า อาร์มี่ ยูไนเต็ด) ส่วน ศรีสะเกษ เอฟซี อันดับ 12 แม้จะมี 35 คะแนนแต่รอดตกชั้นแน่นอนแล้วเนื่องจากมีเฮดทูเฮดที่ดีกว่าไม่ว่าผลจะออกมารูปแบบไหน
โดยเป็น “มังกรไฟ” ที่โชคร้ายกว่าเพื่อน หากแพ้จะตกชั้นทันทีแม้คู่แข่งจะแพ้หมดก็ตาม หรือหากชนะก็ต้องลุ้นให้มีแต้มเหนือกว่าคู่แข่ง เนื่องจากเฮดทูเฮดเป็นรองถ้าคะแนนเท่ากันก็ไม่รอด ตัวอย่างเช่นหากต้องวัดมินิลีกร่วมกับอีก 3 ทีมที่มีโอกาสทำคะแนนบนตารางเท่ากันที่ 33 คะแนน(กรณีที่ท่าเรือแพ้ และที่เหลือเสมอโดยไม่รวมชัยนาท) จะเรียงอันดับได้ดังนี้ การท่าเรือ ราชนาวี สระบุรี และบีอีซี เทโรฯ หรือหากนัดสุดท้ายยังมีคะแนนเท่ากับ ราชนาวี และ สระบุรี ในมินิลีกก็จะยังอยู่ที่โหล่อยู่ดี คือ สระบุรี ราชนาวี และบีอีซี เทโรฯ
ส่วน “ท่าเรือ” แม้ว่าหากชนะจะลอยลำ แต่การเจอ บุรีรัมย์ คงหวังยาก ถึงกระนั้นยังมีโอกาสที่จะรอดสูง เพราะถ้าแพ้ก็ลุ้นให้คู่แข่งอย่าง บีอีซี เทโรฯ สระบุรี และราชบุรี 2 ใน 3ทีมนี้ไม่ชนะเป็นพอ ที่สำคัญท่าเรือยังมีเฮดทูเฮดที่เหนือกว่าทีมอื่นหากต้องมาวัดกันทั้งในรูปแบบตัวต่อตัวหรือมินิลีกก็ตาม
เช่นเดียวกับ “ขุนศึก” ที่ชนะได้ก็รอดแน่นอน แต่ถ้าแพ้ก็ลุ้นหนัก เพราะหาก บีอีซี เทโรฯ หรือราชนาวี ทีมใดทีมหนึ่งมีแต้มติดมือก็จะตกชั้น ส่วน “ตะหานน้ำ” ถือเป็นอีกทีมที่งานหนัก แม้จะเปิดบ้านชนะ อาร์มี่ฯ ได้แต่ก็ต้องลุ้นผลคู่อื่น และหากเสมอแต่ บีอีซี เทโรฯ หรือ สระบุรี ทีมใดทีมหนึ่งชนะก็ไม่รอด ยิ่งถ้าแพ้ก็เก็บกระเป๋ากลับบ้านเก่าทันที ด้าน “นกใหญ่” โอกาสรอดเกิน 90 เปอร์เซ็นต์ แม้จะเสมอหรือแพ้แต่ก็ยังมีอีกหลายกรณีที่จะทำให้ปลอดภัย