คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
เมื่อวันพุธที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นวันลอยกระทงสืบสานประเพณีเก่าแก่โบราณของประเทศไทย ยังถือเป็นวันตัดสินชะตาทีม "หมอผี" สตูล ยูไนเต็ด จากกรณีแฟนบอลทำร้ายผู้ตัดสิน 3 คนในสนาม อบจ.สตูล ด้วย โดยผลการพิจารณาโทษก็ทราบกันไปแล้วว่า ตกลงสมาคมฟุตบอลฯ สั่งลงดาบอย่างไม่ปราณีด้วยโทษแบน 3 ปี เริ่มตั้งแต่ฤดูกาลหน้า และปรับเงิน 315,000 บาท แม้จะให้สิทธิ์แข่งต่อในอีก 3 นัดที่เหลือของรอบแชมเปียนส์ ลีก แต่หากได้โควตาจะให้ทีมอันดับ 3 เลื่อนชั้นขึ้นดิวิชั่น 1 แทน เป็นการซื้อประสบการณ์ที่แสนแพงของทีม "หมอผี"
ก่อนหน้านี้ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับ 1 ใน 3 ผู้ตัดสินฟุตบอลนัดอัปยศนัดนี้ เขาก็เล่าถึงเหตุการณ์ระทึกว่าโดนสหบาทาจากแฟนบอลเจ้าบ้านถึงกับสลบเหมือด ไปฟื้นอีกทีก็ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด แต่ยังโดนตามราวีจากแฟนบอลจนต้องหนีตายไปรักษาตัวที่สงขลาแทน ก่อนจะได้กลับกรุงเทพด้วยสภาพอันสะบักสะบอม
เมื่อถามว่าวันนั้นตัดสินเอนเอียงเข้าข้างทีม ขอนแก่น ยูไนเต็ด หรือไม่ เขายืนยันชัดเจนว่าไม่ ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง เที่ยงธรรม และไม่เคยมีธงจากผู้ใหญ่ว่าให้เข้าข้างใครอย่างที่ผู้ช่วยผู้ตัดสินวันนั้นออกมาพูดในสนามแต่อย่างใด พร้อมกับบอกด้วยว่าตลอด 7 ปีที่ทำหน้าที่ผู้ตัดสินไม่เคยโดนแฟนบอลล้อมกรอบด้วยใจระทึกขนาดนี้ พอถามต่อว่าแล้วจากนี้จะกลับไปทำหน้าที่ผู้ตัดสินต่อไหม เขายืนยันเลยว่าพร้อมทำงานต่อไป เพราะเป็นงานที่รัก แต่จะให้ไปรับงานที่สตูลอีกหรือไม่ เขาตอบเสียงอ่อยๆ ว่าคงไม่กล้าเหมือนกัน รอให้เวลาผ่านไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
แต่พอกลับมานั่งดูคลิปการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินทั้ง 3 รายวันนั้น หลายจังวะเอาตามตรงทั้งลูกให้ใบเหลืองที่ 2 กับผู้เล่นสตูล ที่พยายามเล่นเร็ว หรือลูกที่กองหน้าเจ้าถิ่นพยายามเข้าชาร์จจ่อๆ หน้าประตูแต่โดนดึงไว้แล้วไม่ได้ฟาว์ล ดูกี่ทีกี่ครั้งมันก็น่าสงสัยในเจตนาการทำหน้าที่ แถมมีการยืนยันพบบุคคลต้องสงสัยอย่าง "มิสเตอร์บอมเบอร์แมน" ไปปรากฎกายบนรถตู้ข้างสนามแข่งขันวันนั้นอีก แม้สุดท้ายผู้ตัดสินกลุ่มนี้จะโดนสมาคมฟุตบอลฯ ไปแจ้งความที่ สน.ปทุมวัน ถึงการพูดออกโทรโข่งว่ารับงานมาเป่าให้คู่แข่ง ทว่าผลการทำหน้าที่ดังกล่าว ส่งผลให้ สตูล ยูไนเต็ด ต้องหายจากวงการฟุตบอลไทยไปถึง 3 ปี กับค่าปรับกว่า 3 แสนบาท
เรื่องนี้ได้ฟังจากปากคำของ พงศพัศ ทิ้งนุ้ย ผู้จัดการทีม สตูล ที่กล่าวด้วยน้ำเสียงแทบสิ้นเรี้ยวแรงว่ามันรุนแรงมากกว่าที่คิดไว้ ยกกรณี นครปฐม เอฟซี ที่เคยเกิดเรื่องทำร้ายผู้ตัดสินเมื่อปี 2553 ยังโทษแบนเพียง 2 ปี การลงโทษครั้งนี้ถือว่าหนักหนาสาหัสที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทย โดยผู้จัดการทีม "หมอผี" บอกว่าการแบนขนาดนี้ถือว่าเป็นการ "ฆ่าสตูล ยูไนเต็ด" เลยทีเดียว แม้จะมีโอกาสในการยื่นอุทธรณ์โทษ แต่เชื่อว่ายากเปลี่ยนแปลงผลอะไร ถึงนาทีนี้ สตูล ยูไนเต็ด แทบไม่เหลืออนาคตอะไรทั้งนั้น การกระทำของแฟนบอลเพียงไม่กี่คนส่งผลหนักหนาจนแม้ครบ 3 ปี ยังไม่รู้ว่าจะมีใครไปปลุกทีม "หมอผี" กลับมาแข่งขันได้ต่อหรือไม่ ดังนั้นผู้จัดการทีมมาดเข้ม จึงยืนยันกับชาวสตูลว่า ขอให้เชื่อว่า 2 นัดสุดท้ายที่เหลืออยู่ แม้ สตูล จะตาย แต่จะจารึกชื่อว่าสามารถติด 1 ใน 2 ทีมที่ถูกวางในโควตาเลื่อนชั้นให้ได้
กรณีของ สตูล ยูไนเต็ด เปรียบเหมือนการพลีชีพของสโมสร เพื่อแสดงให้เห็นถึงความตกต่ำในการทำหน้าที่ผู้ตัดสินฟุตบอลประเทศนี้ได้เป็นอย่างดี แปลกใจไหมว่าทำไม่ หลังจาก "เปาอั๋น" ภิรมย์ อั๋นประเสริฐ และ "เปาแป๊ก" ปรัชญา เพิ่มพานิช แล้วทำไมไม่มีใครได้ไปทำหน้าที่ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายอีกเลย ถึงตอนนี้ทุกคนคงทราบคำตอบแล้ว...
เมื่อวันพุธที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นวันลอยกระทงสืบสานประเพณีเก่าแก่โบราณของประเทศไทย ยังถือเป็นวันตัดสินชะตาทีม "หมอผี" สตูล ยูไนเต็ด จากกรณีแฟนบอลทำร้ายผู้ตัดสิน 3 คนในสนาม อบจ.สตูล ด้วย โดยผลการพิจารณาโทษก็ทราบกันไปแล้วว่า ตกลงสมาคมฟุตบอลฯ สั่งลงดาบอย่างไม่ปราณีด้วยโทษแบน 3 ปี เริ่มตั้งแต่ฤดูกาลหน้า และปรับเงิน 315,000 บาท แม้จะให้สิทธิ์แข่งต่อในอีก 3 นัดที่เหลือของรอบแชมเปียนส์ ลีก แต่หากได้โควตาจะให้ทีมอันดับ 3 เลื่อนชั้นขึ้นดิวิชั่น 1 แทน เป็นการซื้อประสบการณ์ที่แสนแพงของทีม "หมอผี"
ก่อนหน้านี้ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับ 1 ใน 3 ผู้ตัดสินฟุตบอลนัดอัปยศนัดนี้ เขาก็เล่าถึงเหตุการณ์ระทึกว่าโดนสหบาทาจากแฟนบอลเจ้าบ้านถึงกับสลบเหมือด ไปฟื้นอีกทีก็ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด แต่ยังโดนตามราวีจากแฟนบอลจนต้องหนีตายไปรักษาตัวที่สงขลาแทน ก่อนจะได้กลับกรุงเทพด้วยสภาพอันสะบักสะบอม
เมื่อถามว่าวันนั้นตัดสินเอนเอียงเข้าข้างทีม ขอนแก่น ยูไนเต็ด หรือไม่ เขายืนยันชัดเจนว่าไม่ ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง เที่ยงธรรม และไม่เคยมีธงจากผู้ใหญ่ว่าให้เข้าข้างใครอย่างที่ผู้ช่วยผู้ตัดสินวันนั้นออกมาพูดในสนามแต่อย่างใด พร้อมกับบอกด้วยว่าตลอด 7 ปีที่ทำหน้าที่ผู้ตัดสินไม่เคยโดนแฟนบอลล้อมกรอบด้วยใจระทึกขนาดนี้ พอถามต่อว่าแล้วจากนี้จะกลับไปทำหน้าที่ผู้ตัดสินต่อไหม เขายืนยันเลยว่าพร้อมทำงานต่อไป เพราะเป็นงานที่รัก แต่จะให้ไปรับงานที่สตูลอีกหรือไม่ เขาตอบเสียงอ่อยๆ ว่าคงไม่กล้าเหมือนกัน รอให้เวลาผ่านไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
แต่พอกลับมานั่งดูคลิปการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินทั้ง 3 รายวันนั้น หลายจังวะเอาตามตรงทั้งลูกให้ใบเหลืองที่ 2 กับผู้เล่นสตูล ที่พยายามเล่นเร็ว หรือลูกที่กองหน้าเจ้าถิ่นพยายามเข้าชาร์จจ่อๆ หน้าประตูแต่โดนดึงไว้แล้วไม่ได้ฟาว์ล ดูกี่ทีกี่ครั้งมันก็น่าสงสัยในเจตนาการทำหน้าที่ แถมมีการยืนยันพบบุคคลต้องสงสัยอย่าง "มิสเตอร์บอมเบอร์แมน" ไปปรากฎกายบนรถตู้ข้างสนามแข่งขันวันนั้นอีก แม้สุดท้ายผู้ตัดสินกลุ่มนี้จะโดนสมาคมฟุตบอลฯ ไปแจ้งความที่ สน.ปทุมวัน ถึงการพูดออกโทรโข่งว่ารับงานมาเป่าให้คู่แข่ง ทว่าผลการทำหน้าที่ดังกล่าว ส่งผลให้ สตูล ยูไนเต็ด ต้องหายจากวงการฟุตบอลไทยไปถึง 3 ปี กับค่าปรับกว่า 3 แสนบาท
เรื่องนี้ได้ฟังจากปากคำของ พงศพัศ ทิ้งนุ้ย ผู้จัดการทีม สตูล ที่กล่าวด้วยน้ำเสียงแทบสิ้นเรี้ยวแรงว่ามันรุนแรงมากกว่าที่คิดไว้ ยกกรณี นครปฐม เอฟซี ที่เคยเกิดเรื่องทำร้ายผู้ตัดสินเมื่อปี 2553 ยังโทษแบนเพียง 2 ปี การลงโทษครั้งนี้ถือว่าหนักหนาสาหัสที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทย โดยผู้จัดการทีม "หมอผี" บอกว่าการแบนขนาดนี้ถือว่าเป็นการ "ฆ่าสตูล ยูไนเต็ด" เลยทีเดียว แม้จะมีโอกาสในการยื่นอุทธรณ์โทษ แต่เชื่อว่ายากเปลี่ยนแปลงผลอะไร ถึงนาทีนี้ สตูล ยูไนเต็ด แทบไม่เหลืออนาคตอะไรทั้งนั้น การกระทำของแฟนบอลเพียงไม่กี่คนส่งผลหนักหนาจนแม้ครบ 3 ปี ยังไม่รู้ว่าจะมีใครไปปลุกทีม "หมอผี" กลับมาแข่งขันได้ต่อหรือไม่ ดังนั้นผู้จัดการทีมมาดเข้ม จึงยืนยันกับชาวสตูลว่า ขอให้เชื่อว่า 2 นัดสุดท้ายที่เหลืออยู่ แม้ สตูล จะตาย แต่จะจารึกชื่อว่าสามารถติด 1 ใน 2 ทีมที่ถูกวางในโควตาเลื่อนชั้นให้ได้
กรณีของ สตูล ยูไนเต็ด เปรียบเหมือนการพลีชีพของสโมสร เพื่อแสดงให้เห็นถึงความตกต่ำในการทำหน้าที่ผู้ตัดสินฟุตบอลประเทศนี้ได้เป็นอย่างดี แปลกใจไหมว่าทำไม่ หลังจาก "เปาอั๋น" ภิรมย์ อั๋นประเสริฐ และ "เปาแป๊ก" ปรัชญา เพิ่มพานิช แล้วทำไมไม่มีใครได้ไปทำหน้าที่ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายอีกเลย ถึงตอนนี้ทุกคนคงทราบคำตอบแล้ว...