สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4 โดยนาย นรินทร์พงศ์ จินาภักดิ์ ประธานฝ่ายกฎหมาย ห้ามแก้ไขระบบการเลือกตั้งนายกฯ คนใหม่ ห้ามแก้ 30 เสียงจาก ดิวิชัน 2 ตามที่คณะกรรมการกลางของ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟา) เปรยก่อนหน้านี้ มิฉะนั้นอาจผิดกฎ และถูกแบนได้
นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ประธานฝ่ายกฎหมาย สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่การกีฬาแห่งประเทศไทย โดย นายสกล วรรณพงษ์ ผู้ว่าการ กกท. และ พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ ประธานคณะกรรมการกลาง ได้ให้ข่าวต่อสื่อมวลชนในทำนองเดียวกันว่า จะเข้ามาจัดการบริหารในสมาคมฟุตบอลฯ แทนสภากรรมการชุดเดิมที่รักษาการอยู่ ตลอดจนจะทบทวนแก้ไขข้อบังคับลักษณะปกครองฯ ที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยที่ประชุมใหญ่เมื่อวันที่ 17 ก.ย. แล้ว โดยจะแก้ไขในส่วนของตัวแทนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียง ในลีกภูมิภาคดิวิชั่น 2 จ านวน 6 ภาค ภาคละ 5 คน รวม 30 คนโดยอ้างว่ามีการได้เปรียบเสียเปรียบเกิดขึ้น ในระหว่างผู้สมัครรับเลือกตั้ง ดังนั้นจะหาวิธีการที่เป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายโดยจะแก้ไขข้อบังคับลักษณะปกครองฯ ที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้
สมาคมฟุตบอลฯ ขอแถลงข้อเท็จจริงว่า ตามที่ นายสกล และ พล.ร.อ.สุรวุฒิ ต่างก็ได้รับหนังสือแจ้งจากทาง ฟีฟ่า ว่าพลเรือเอก สุรวุฒิ มหารมณ์ และคณะกรรมการกลางมีหน้าที่จัดการเลือกตั้งกรรมการสมาคมฟุตบอลฯชุดใหม่ ให้เสร็จสิ้นไป ภายในวันที่ 15 ก.พ.59 เท่านั้น ไม่มีอำนาจหน้าที่ยุ่งเกี่ยวหรือแทรกแซงการบริหารของสมาคมฯ ซึ่งข้อความนี้ปรากฎตามหนังสือของ ฟีฟ่า ฉบับลงวันที่ 16 ต.ค.58 ลงนามโดยนายมาคุส คัตต์เนอร์ รักษาการเลขาธิการ ฟีฟ่า ที่ส่งมาถึงสมาคมฟุตบอลฯ และทางสำนักงานเลขาธิการก็ได้นำส่งสำเนาหนังสือนี้ ให้แก่ กกท.และ พล.ร.อ.สุรวุฒิ ทราบแล้ว นอกจากนี้สาระสำคัญในหนังสือของ ฟีฟ่า ดังกล่าว ก็ยังได้รับรองว่าการประชุมใหญ่วิสามัญเมื่อวันที่ 17 ก.ย. เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับฯ พ.ศ.2558 ว่าได้กระทำ โดยถูกต้องและเป็นไปตาม ข้อบังคับของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ทุกประการแล้ว ส่วนที่ นายสกล และ พล.ร.อ.สุรวุฒิ แจ้งต่อสื่อมวลชนว่า ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับกระบวนการในการ สรรหาตัวแทนจำนวน 30คนจากลีกภูมิภาคดิวิชั่น 2 ว่าเป็นการดำเนินการโดยโปร่งใสหรือไม่ ซึ่งอาจจะเป็น เหตุให้ผู้สมัครเกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกัน และจะเข้ามาแก้ไขโดยทำการเปลี่ยนแปลงกระบวนการสรรหา ตัวแทนในลีกภูมิภาคดังกล่าว
ในเรื่องนี้ สมาคมฯขอชี้แจงว่า กระบวนการสรรหาเป็นไปตามข้อบังคับฯ ซึ่ง ธรรมนูญ ฟีฟ่า กำหนดไว้ เนื่องจากเดิมในปี พ.ศ. 2556 ข้อบังคับฯกำหนดให้ใช้ระบบ Ranking อันดับ 1-5ของแต่ละภาครวม 6 ภาค แต่ในข้อบังคับฯกำหนดว่าให้ใช้ระบบนี้ได้เฉพาะในปีพ.ศ.2556 เท่านั้น เมื่อพ้น กำหนดระยะเวลาดังกล่าว ทางสมาคมฯต้องแก้ไขข้อบังคับฯให้สอดคล้องกับธรรมนูญของ ฟีฟ่า ในเรื่องการสรรหาผู้แทนในแต่ละภาคโดยตัวแทนของแต่ละสโมสรในแต่ละภาคจะมาทำการสรรหากันเอง ซึ่งในการ ดำเนินการสรรหาตัวแทนทั้ง 6 ภาคทางสมาคมฯ ก็ได้ส่งหลักฐานให้แก่ทางกกท.ดังนี้ 1.รายชื่อประธานหรือตัวแทนสโมสรที่เข้าร่วมประชุมทั้ง 6 ภาค, 2. รายงานการประชุมการสรรหาตัวแทนจำนวน 6 ภาค ภาคละ 5 คนรวม 30 คน, 3. บันทึกการยืนยันและลงนามรับรองของประธานหรือตัวแทนที่ท าการสรรหาตัวแทนทั้ง 6 ภาค ภาคละ 5 คนรวม 30 คน, 4. ดีวีดีบันทึกขั้นตอนและกระบวนการสรรหาตัวแทนทั้ง 6 ภาค ภาคละ 5 คนรวม 30 คน โดย สื่อมวลชนจัดทำ (และสื่อมวลชนได้แพร่ภาพและเสียงออกอากาศแล้ว)
ดังนั้น ในปัญหาที่ทางนายสกล ในฐานะผู้ว่าการ กกท.และพล.ร.อ. สุรวุฒิ ประธานคณะกรรมการกลาง สงสัยเรื่องการสรรหาตัวแทนทั้ง 30 คนจากลีกภูมิภาคดิวิชั่น 2 ทั้ง 6 ภาค สมาคมฯยืนยันว่าการสรรหา ตัวแทนทั้ง 30 คน เป็นไปตามข้อบังคับและกระทำโดยเปิดเผย โดยสโมสรสมาชิกในแต่ละภาคได้ดำเนินการด้วยตนเอง สมาคมฯไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวและแทรกแซงการสรรหาตัวแทนของแต่ละภาคเลย เพียงแต่สมาคมฯ เข้าไปสังเกตุการณ์และให้การรับรองโดย นายวิมล กาญจนะ ประธานลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 เป็นผู้รับรอง ปัญหาเรื่องการสรรหาตัวแทนผู้มีสิทธิลงคะแนนในลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 ทางสมาคมฯได้มอบหลักฐาน ชี้แจงในเรื่องดังกล่าวทั้งหมดให้กับผู้ว่าการ กกท.แล้วหลังจากที่ยื่นขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับฯ โดยทาง กกท. แจ้งทางสมาคมฯส่งหลักฐานดังกล่าวแล้ว และ กกท ก็ได้รับหลักฐานนี้ไปครบถ้วนแล้ว การที่นายสกล และ พล.ร.อ. สุรวุฒิ ได้ออกข่าวให้สัมภาษณ์ว่า จะดำเนินการแก้ไขข้อบังคับ ลักษณะปกครองฯ เกี่ยวกับตัวแทนผู้มีสิทธิออกเสียงในลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 นั้น สมาคมฯขอเรียนว่า ท่านทั้ง สองก็ได้รับส าเนาหนังสือของ ฟีฟ่า ฉบับลงวันที่ 16 ต.ค.58 แล้ว ว่า ฟีฟ่า ให้การรับรองข้อบังคับฯ ดังกล่าวที่สมาชิกผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงในที่ประชุมใหญ่เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 58 ซึ่งมีมติรับรองเป็น จ านวน 58 เสียง ดังนั้น หากท่านทั้งสองดำเนินการแก้ไขข้อบังคับฯอีก แล้วถูก ฟีฟ่า ลงโทษสั่งแบนสมาคมฯ ท่านทั้งสองจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่วงการฟุตบอลของประเทศไทย สมาคมฯจึง ขอให้ท่านทั้งสองได้โปรดทบทวนเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของท่านตามข้อบังคับลักษณะปกครองฯ รวมถึงให้ ศึกษาระเบียบวิธีการเลือกตั้งฯ 2556 โดยละเอียดเสียก่อน ว่าท่านทั้งสองมีขอบเขตและอำนาจหน้าที่เพียงใด ในการทำหน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้งในครั้งนี้ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่วงการฟุตบอลของ ประเทศไทยต่อไป
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *