คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
เรียกได้ว่าเฮพร้อมกันทั้งประเทศก็ว่าได้ กับช็อตที่ “จ่าเย็น” มงคล ทศไกร วิ่งเข้ามาชาร์จปากประตู เป็นลูกตีเสมอให้ ทีมชาติไทย ไล่เจ๊า อิรัก อย่างเหลือเชื่อ 2-2 ในศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย เมื่อวันที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งต้องบอกว่าเกิดจากหัวใจนักสู้ที่ฮึดจนหยดสุดท้ายของทั้งนักเตะและกองเชียร์
ก่อนวันแข่ง เฮดโค้ชอิรัก กล่าวถึง ทีมชาติไทย ในงานแถลงข่าวว่าเป็นทีมระดับกลางของเอเชีย ซึ่งก็ถูกต้อง เขาไม่ได้ปรามาสเรา และอิรักเองก็ได้แสดงให้เห็นแล้วถึงศักยภาพที่เหนือกว่า แม้พวกเขาจะมีปัญหาภายใน เปลี่ยนโค้ชมาหลายคนติดต่อกัน แถมต้องระเห็จไปใช้รังเหย้านอกบ้านเนื่องจากเกิดความไม่มั่นคงในประเทศ แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นเสือร้ายแห่งเอเชีย สมราคามือวางอันดับ 7 ของทวีป ที่เคยผ่านไปเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย (ปี 1986) และคว้าแชมป์เอเชียน คัพ (ปี 2007) มาแล้ว
เพียงแค่นกหวีดดัง อาคันตุกะจากตะวันออกกลาง ก็ตั้งเกมบุกกดดันใส่เจ้าบ้านจนโงหัวไม่ขึ้น ใช้ความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นที่เหนือกว่าฉีกแนวรับไทยกระจุย พูดได้เต็มปากว่าไทยสู้ไม่ได้ แต่ทัพ “ช้างศึก” ยังโชคดีที่จังหวะสุดท้ายของคู่แข่งไม่เด็ดขาดพอ โดนเจาะไปเพียง 2 ประตู ทั้งที่ดูจากโอกาสแล้วน่าจะไหลถึง 3-4 ลูกด้วยซ้ำ ซึ่งชั่วโมงนั้นไม่มีใครคิดหรอกว่าจะตามตีเสมอได้ ภาวนาเพียงไม่โดนเพิ่ม หรือยิงกู้หน้าได้ก็ดูดีแล้ว
แต่สุดท้ายลูกทีมของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาสวมหัวใจสิงห์มาสู้ ตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกมของตัวเอง มุ่งสมาธิแต่ในสนาม พยามยามทะลวงเข้าทำอย่างไม่ย่อท้อ เมื่อคู่แข่งชะล่าใจในช่วง 10 นาทีสุดท้าย ก็จัดการปิดบัญชี ประตูแรกจากจุดโทษของ ธีราทร บุญมาทัน ตามติดด้วยลูกยิงตีเสมอของ มงคล และแม้ช่วงท้ายเกมจะโดนคู่แข่งบดหนัก แต่แนวรับ โดยเฉพาะ “เจ้าตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ก็หาได้เสียสมาธิไม่ ช่วยเซฟชีวิตกันอุตลุด จนยันเสมอได้สำเร็จ เรียกได้ว่า 1 แต้มที่ได้มาเกิดจากใจล้วนๆ
เหนือสิ่งอื่นใด หากใครได้เข้าชมเกมในสนามวันดังกล่าว นอกจากจะได้ลุ้นระทึกไปกับการเล่นของ “ช้างศึก” แล้ว เชื่อว่าแทบทุกคนได้รับความประทับใจกลับบ้านแน่นอน จากบรรยากาศการเชียร์ของทั้ง 4 สแตนด์ ที่พร้อมใจกันกู่ร้องตลอดทั้งเกม ไล่ตั้งแต่การพร้อมใจกันเปิดไฟจากโทรศัพท์ย้อมอัฒจันทร์ให้เกิดแสงสวยงาม หรือกลุ่ม “Cheerthai Power” ที่แจกถุงพลาสติกสี แดง-ขาว-น้ำเงิน ให้คนทั้งโซน N ฝั่งหลังประตู ได้ร่วมสนุกสวมใส่จนเกิดเป็นภาพธงชาติไทยสวยงาม รวมถึงกลุ่ม “South Curve Unit Thailand” ฝั่งหลังประตู โซน S ที่กางธงยักษ์ 3 ผืน คือ ธงชาติไทย ธงตราพระมงกุฎ และธงช้างเผือก ซึ่งเป็นการแสดงถึงการครบรอบ 100 ปีฟุตบอลไทย ไม่เว้นแม้แต่ “Ultras Thailand” ที่มาด้วยความสงบเรียบร้อย แต่คงค็อนเซ็ปต์เชียร์อย่างบ้าคลั่งทรงพลังตลอด 90 นาที ตลอดจนเสียงเชียร์จากนักกีฬาคนพิการ ที่ได้รับเกียรติให้มาเชียร์ติดขอบสนามถึงบนลู่วิ่ง
เป็นภาพบรรยากาศที่สุดยอดเกินบรรยาย และไม่มีคำไหนจะพูดนอกจากขอ ซูฮก ในหัวจิตหัวใจนักเตะ และทุกกำลังใจของเหล่ากองเชียร์ พร้อมกับหวังว่าจะมีสิ่งสวยงามเหล่านี้เกิดขึ้นทุกๆนัดยามที่แข้งไทยลงสนาม รวมถึงการไปเชียร์เกมเยือนด้วย โดยเกมต่อไปที่ “ช้างศึก” จะต้องบุก เวียดนาม วันที่ 13 ตุลาคม นี้ จะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์อย่างดีของแฟนบอลไทย
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
เรียกได้ว่าเฮพร้อมกันทั้งประเทศก็ว่าได้ กับช็อตที่ “จ่าเย็น” มงคล ทศไกร วิ่งเข้ามาชาร์จปากประตู เป็นลูกตีเสมอให้ ทีมชาติไทย ไล่เจ๊า อิรัก อย่างเหลือเชื่อ 2-2 ในศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย เมื่อวันที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งต้องบอกว่าเกิดจากหัวใจนักสู้ที่ฮึดจนหยดสุดท้ายของทั้งนักเตะและกองเชียร์
ก่อนวันแข่ง เฮดโค้ชอิรัก กล่าวถึง ทีมชาติไทย ในงานแถลงข่าวว่าเป็นทีมระดับกลางของเอเชีย ซึ่งก็ถูกต้อง เขาไม่ได้ปรามาสเรา และอิรักเองก็ได้แสดงให้เห็นแล้วถึงศักยภาพที่เหนือกว่า แม้พวกเขาจะมีปัญหาภายใน เปลี่ยนโค้ชมาหลายคนติดต่อกัน แถมต้องระเห็จไปใช้รังเหย้านอกบ้านเนื่องจากเกิดความไม่มั่นคงในประเทศ แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นเสือร้ายแห่งเอเชีย สมราคามือวางอันดับ 7 ของทวีป ที่เคยผ่านไปเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย (ปี 1986) และคว้าแชมป์เอเชียน คัพ (ปี 2007) มาแล้ว
เพียงแค่นกหวีดดัง อาคันตุกะจากตะวันออกกลาง ก็ตั้งเกมบุกกดดันใส่เจ้าบ้านจนโงหัวไม่ขึ้น ใช้ความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นที่เหนือกว่าฉีกแนวรับไทยกระจุย พูดได้เต็มปากว่าไทยสู้ไม่ได้ แต่ทัพ “ช้างศึก” ยังโชคดีที่จังหวะสุดท้ายของคู่แข่งไม่เด็ดขาดพอ โดนเจาะไปเพียง 2 ประตู ทั้งที่ดูจากโอกาสแล้วน่าจะไหลถึง 3-4 ลูกด้วยซ้ำ ซึ่งชั่วโมงนั้นไม่มีใครคิดหรอกว่าจะตามตีเสมอได้ ภาวนาเพียงไม่โดนเพิ่ม หรือยิงกู้หน้าได้ก็ดูดีแล้ว
แต่สุดท้ายลูกทีมของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาสวมหัวใจสิงห์มาสู้ ตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกมของตัวเอง มุ่งสมาธิแต่ในสนาม พยามยามทะลวงเข้าทำอย่างไม่ย่อท้อ เมื่อคู่แข่งชะล่าใจในช่วง 10 นาทีสุดท้าย ก็จัดการปิดบัญชี ประตูแรกจากจุดโทษของ ธีราทร บุญมาทัน ตามติดด้วยลูกยิงตีเสมอของ มงคล และแม้ช่วงท้ายเกมจะโดนคู่แข่งบดหนัก แต่แนวรับ โดยเฉพาะ “เจ้าตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ก็หาได้เสียสมาธิไม่ ช่วยเซฟชีวิตกันอุตลุด จนยันเสมอได้สำเร็จ เรียกได้ว่า 1 แต้มที่ได้มาเกิดจากใจล้วนๆ
เหนือสิ่งอื่นใด หากใครได้เข้าชมเกมในสนามวันดังกล่าว นอกจากจะได้ลุ้นระทึกไปกับการเล่นของ “ช้างศึก” แล้ว เชื่อว่าแทบทุกคนได้รับความประทับใจกลับบ้านแน่นอน จากบรรยากาศการเชียร์ของทั้ง 4 สแตนด์ ที่พร้อมใจกันกู่ร้องตลอดทั้งเกม ไล่ตั้งแต่การพร้อมใจกันเปิดไฟจากโทรศัพท์ย้อมอัฒจันทร์ให้เกิดแสงสวยงาม หรือกลุ่ม “Cheerthai Power” ที่แจกถุงพลาสติกสี แดง-ขาว-น้ำเงิน ให้คนทั้งโซน N ฝั่งหลังประตู ได้ร่วมสนุกสวมใส่จนเกิดเป็นภาพธงชาติไทยสวยงาม รวมถึงกลุ่ม “South Curve Unit Thailand” ฝั่งหลังประตู โซน S ที่กางธงยักษ์ 3 ผืน คือ ธงชาติไทย ธงตราพระมงกุฎ และธงช้างเผือก ซึ่งเป็นการแสดงถึงการครบรอบ 100 ปีฟุตบอลไทย ไม่เว้นแม้แต่ “Ultras Thailand” ที่มาด้วยความสงบเรียบร้อย แต่คงค็อนเซ็ปต์เชียร์อย่างบ้าคลั่งทรงพลังตลอด 90 นาที ตลอดจนเสียงเชียร์จากนักกีฬาคนพิการ ที่ได้รับเกียรติให้มาเชียร์ติดขอบสนามถึงบนลู่วิ่ง
เป็นภาพบรรยากาศที่สุดยอดเกินบรรยาย และไม่มีคำไหนจะพูดนอกจากขอ ซูฮก ในหัวจิตหัวใจนักเตะ และทุกกำลังใจของเหล่ากองเชียร์ พร้อมกับหวังว่าจะมีสิ่งสวยงามเหล่านี้เกิดขึ้นทุกๆนัดยามที่แข้งไทยลงสนาม รวมถึงการไปเชียร์เกมเยือนด้วย โดยเกมต่อไปที่ “ช้างศึก” จะต้องบุก เวียดนาม วันที่ 13 ตุลาคม นี้ จะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์อย่างดีของแฟนบอลไทย
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *