เอเยนซี - ฝีไม้ลายมือรวมถึงกึ๋นในการคุมทัพไม่มีใครกังขาในตัว โชเซ มูรินโญ อย่างไรก็ตามพฤติกรรมล่าสุดในศึก “เอฟเอ คอมมูนิตี ชิลด์ 2015” ที่ เวมบลีย์ สเตเดียม ภายหลังพ่ายแก่ อาร์เซนอล 0-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา เหมือนเป็นการตอกย้ำถึงเรื่องสปิริตกับน้ำใจนักกีฬาที่แทบไม่เคยมีให้เห็น จนถูกวงการตราหน้าและวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา
อาร์เซนอล เอาฤกษ์เอาชัยก่อนศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2015-16 เปิดฉากวันที่ 8 สิงหาคมนี้ ด้วยการเอาชนะ เชลซี 1-0 จากการยิงยัดไส้ของ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ปีกทีมชาติอังกฤษ นาทีที่ 24 ที่สำคัญถือเป็นชัยชนะครั้งแรกตลอด 14 นัดของ อาร์แซน เวนเกอร์ นายใหญ่ “ปืนโต” ที่พบกับ มูรินโญ
ภายหลัง มูรินโญ แสดงพฤติกรรมที่นำมาสู่การวิจารณ์ทั้งไม่ยอมจับมือกับ เวนเกอร์ ไม่ว่าจะก่อนเกม จบเกม และทันทีที่นักเตะ อาร์เซนอล เดินลงมาจากการรับเหรียญ โดยมีกุนซือชาวฝรั่งเศสปิดท้าย นอกจากนี้ไม่ให้เกียรติด้วยการโยนเหรียญรองแชมป์เข้าไปในกลุ่มคนดู นายใหญ่ เชลซี นิยามว่า “เป็นเหรียญสำหรับผู้พ่ายแพ้”
นอกจากนี้ มูรินโญ ยังให้สัมภาณ์ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ว่า “อาร์เซนอล ทิ้งปรัชญาเกมรุกของตนเองเอาไว้ในห้องแต่งตัว ด้วยการมีผู้เล่น 9 คนลงไปตั้งรับ” กรณีนี้เหมือนเป็นการบ่งบอกว่าทีมที่ดีที่สุดนั้นไม่ชนะในเกมนี้ ทั้งที่ อาร์เซนอล มีโอกาสบวกประตูเพิ่มจาก ซานติ กาซอร์ลา รวมถึง คีแรน กิ๊บบ์ส แต่ ธิโบต์ คูร์ตัวส์ มือกาว เชลซี ช่วยเซฟเอาไว้ ขณะที่โอกาสส่องประตูของแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ปีที่แล้วมีแค่ เอเดน ฮาซาร์ด ที่ซัดข้ามคาน รวมถึงฟรีคิกที่ ปีเตอร์ เช็ก มือกาว “ปืนโต” ปัดป้องไม่พลาด
เวนเกอร์ ก็ออกมาตอบโต้ทันควันว่า “เราไม่ได้ละทิ้งอะไรเลย เน้นความสัมพันธ์กัน ระหว่างเกมรับและเกมรุกที่มีประสิทธิภาพ ผมเชื่อว่า เราตั้งรับ เพราะเป็นลูกเล่นทางจิตวิทยาอย่างหนึ่งของลูกทีม พวกเขากังวลเรื่องการรักษาความได้เปรียบ ยามเผชิญหน้า เชลซี เราต้องยอมรับสิ่งนั้น และผมไม่คิดว่า มันเป็นการละเลยต่อปรัชญา มันเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เราต้องการชนะในเกมนี้ ผมค่อนข้างภูมิใจผลงานของนักเตะ”
ถ้าจำกันได้ มูรินโญ พยายามที่จะใช้สงครามจิตวิทยาเล่นงาน เวนเกอร์ ก่อนที่จะเตะ “เอฟเอ คอมมูนิตี ชิลด์ 2015” โดยบอกว่า อาร์เซนอล น่าจะได้ลุ้นแชมป์ เพราะ 2-3 ปีที่ผ่านมาเสริมทัพระดับ 100 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5,400 ล้านบาท) คือการบอกว่าจะใช้เงินซื้อความสำเร็จ ทั้งที่ เชลซี ก็ใช้เงินแต่งทัพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือเมื่อปี 2005 มูรินโญ ด่าอีกฝ่ายว่า “voyeur” (พวกถ้ำมอง / โรคจิต) กรณีนี้ใครก็รับไม่ได้ ก่อนที่นายใหญ่ชายโปรตุเกสจะขอโทษภายหลังและเมื่อปีที่แล้วยังได้เล่นงาน เวนเกอร์ ว่าเป็น “พวกเชี่ยวชาญความล้มเหลว” เพราะก่อนที่ อาร์เซนอล จะได้แชมป์ เอฟเอ คัพ 2 ปีหลังสุดนั้น ห่างหายจากแชมป์มาถึง 9 ปี ส่วนแชมป์ลีกครั้งสุดท้ายต้องย้อนไปฤดูกาล 2003-04
ย้อนไปศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ซูเปอร์บิ๊กแมตช์ ดาร์บี กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 5 ตุลาคมปีที่แล้ว ณ สนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์ จบลงด้วยชัยชนะของเจ้าถิ่น 2-0 ทว่าก็หวิดมีการวางมวยกันระหว่างกุนซือทั้ง 2 ฝั่ง คือ มูรินโญ ของ เชลซี กับ เวนเกอร์ ของ อาร์เซนอล ประเด็นก็มาจากที่แต่ละฝ่ายพยายามโวยวายข้างสนามเพื่อปกป้องนักเตะจังหวะปะทะหนัก จนถึงขั้นผลักออกไม้ออกมือ
เรื่องราวทั้งหมดบานปลายจนกลายเป็นคู่กัด เหนืออื่นใด มูรินโญ คือชนวนของเรื่องทั้งหมดเมื่อโจมตีอีกฝ่ายเอาไว้ค่อนข้างเยอะจึงรับไม่ได้กับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ ที่สำคัญก่อนหน้านี้เจอกัน 13 ครั้งไม่เคยปราชัย ดังนั้นยิ่งขมขื่นทวีคูณ ทว่าเมื่ออยู่ใลกกีฬาก็ควรที่จะแสดงสปิริตและเป็นผู้ชนะกับผู้แพ้ที่ดี เพราะปีที่แล้วที่ เชลซี ได้แชมป์ยังให้สัมภาษณ์แบบไม่ยี่หระเลยว่าเน้นเกมรับเพื่อเป็นแชมป์ พร้อมชำแหละคู่แข่งเป็นรายๆ ไปเลยว่าดีพร่ำเพรื่อ
มูรินโญ แจ้งเกิดด้วยการซิวแชมป์ยุโรปกับ เอฟซี ปอร์โต เมื่อปี 2004 ช่วย เชลซี กวาดทุกแชมป์บนเกาะอังกฤษ นำ อินเตอร์ มิลาน ซิวทริปเปิลแชมป์เมื่อปี 2010 รวมถึงได้แชมป์ ลา ลีกา สเปน กับ รีล มาดริด ทว่ากลับไม่ได้ทำตัวเองให้ทรงคุณค่าใช้ลิ้นอันคมกริบกัดทุกคนไปทั่วจนข้ามเส้นไปแล้วและจากนี้จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อแสดงปฎิกิริยาโต้ตอบจนกลายเป็นผู้แพ้ที่น่ากลัวมากไปแล้ว
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *