“มิลเนอร์” ทายาท “สตีวีจี” มิดฟิลด์ตัวกลางที่คู่ควร

เอเยนซี - ย้อนไปฤดูกาล 2009-10 ถือเป็นปีที่น่าจดจำของสาวก “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลลา ก็ว่าได้ เนื่องจากจบด้วยอันดับ 6 ภายใต้การคุมทัพของ มาร์ติน โอนีล ซึ่งหนึ่งในปัจจัยเป็นการใช้บริการ เจมส์ มิลเนอร์ ในบทบาทของมิดฟิลด์ตัวกลาง ดังนั้น หวังว่า บางที เบรนแดน ร็อดเจอร์ส นายใหญ่ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล อาจมองเห็นตรงจุดนี้เพื่อให้สวมบททายาทของ สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่อำลาไปเล่นให้ แอลเอ กาแล็กซี แห่งศึก เมเจอร์ ลีก ซอคเกอร์ สหรัฐอเมริกา

วิลลา ออกสตาร์ทชนะ 4 จาก 5 นัด จากนั้นยังสามารถเปิดบ้านเสมอ แมนเชสเตอร์ ซิตี 1-1 รวมถึงเฉือน เชลซี 2-1 ตอนนั้น โอนีล มีขุมกำลังนักเตะฝีเท้าดีให้เลือกใช้มากมาย โดยเฉพาะ แอชลีย์ ยัง ที่อยู่ในฟอร์มเปรี้ยงปร้างปักหลักกราบซ้าย แต่ถูกโยกไปเดินเกมฝั่งขวา เนื่องจากพอถึงเดือนพฤศจิกายน สจ๊วร์ต ดาวนิง ที่ซื้อมาจาก มิดเดิลสโบรช์ หายเจ็บคืนทัพ จึงได้ลงทำเกมอีกฝั่งหนึ่ง

ขณะที่ มิลเนอร์ ที่เริ่มต้นค้าแข้งด้วยตำแหน่งปีกขวา โอนีล ให้มาเล่นตรงกลางคู่กับ สติลิยัน เปตรอฟ ซึ่งก็เบียด ไนเจล รีโอ โคเกอร์ หลุดไปนั่งสำรอง เนื่องจากอดีตแข้ง ลีดส์ ยูไนเต็ด กับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด มีทีเด็ดที่การขึ้นมาเติมเกมรุกได้ดีกว่า

แผนนี้เกมที่สนาม แฟรตตัน ปาร์ค ของ ปอร์ทสมัธ ศึก คาร์ลิง คัพ รอบ 5 ได้ผลชะงัก เนื่องจาก มิลเนอร์ ที่สวมบทมิดฟิลด์ตัวกลางยิง 1 จ่าย 1 ประตูครึ่งแรก ก่อนที่ ยัง กับ ดาวนิง จะมาซัดช่วยให้ วิลลา บุกชนะ 4-2

ถัดมาไม่นานเกมลีกช่วงต้นเดือนธันวาคมปี 2009 ระบบเดียวกันกองกลาง 4 คนของ วิลลา เปิดบ้านขย้ำ ฮัลล์ ซิตี 3-0 มิลเนอร์ ยิงล็อบอย่างสุดสวย พร้อมจ่ายให้เพื่อนทำประตูได้ด้วย ซึ่ง 3 แมตช์ถัดมาก็เห็นผลชะงักอีก คือ ชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0, ซันเดอร์แลนด์ 2-0 และ สโต๊ก ซิตี 1-0

ตอนนั้น ยัง, ดาวนิง และ มิลเนอร์ ถือเป็น 3 กองกลางที่แข็งแกร่งมีความเร็ว ปั้นเกมอยู่หลัง แก็บบี อักบอนลาฮอร์ ทั้งหมดคือแข้งอังกฤษที่อายุยังน้อย ถือเป็นอนาคตอย่างแท้จริง ส่วนตัวคุมจังหวะให้ วิลลา ยืนต่ ำคือ เปตรอฟ แต่คนขับเคลื่อนจริง ๆ ก็คือ มิลเนอร์ ทั้งรุกและรับจนทำให้นึกถึง สตีเวน เจอร์ราร์ด สมัยรุ่ง ๆ วิ่งพล่านไปทั่วสนาม

จากนั้น มิลเลอร์ เล่นบทตัวกลางให้ วิลลา เกือบทุกแมตช์จนจบฤดูกาล ทีมได้อันดับ 6 พรีเมียร์ ลีก ห่างจากพื้นที่ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก แค่ 6 แต้ม แถมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ กับรอบชิง คาร์ลิง คัพ ก่อนจะแพ้ แมนฯยู 1-2 ซึ่งเจ้าตัวก็ยิงจุดโทษให้ทีมนำแต่หัววัน สุดท้ายยังได้รางวัลแข้งดาวรุ่งแห่งปีของ พีเอฟเอ หรือ สมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ ไปครองอีกด้วย

ในลีก มิลเนอร์ มีสถิติการแท็กเกิลส์ดีที่สุดเป็นอันดับ 12 และยิงประตู 7 ลูก ติดอันดับ 10 นอกจากนี้ จับบอลมากที่สุดเป็นอันดับ 7 รวมถึงผ่านบอลมากที่สุดติดที่ 3 ซึ่งมีนักเตะไม่มากนักหรอกที่ถูกกุนซือเปลี่ยนบทบาทแบบและสามารถเล่นได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้

หลังจากมีฤดูกาล 2009-10 อันน่าจดจำ มิลเนอร์ ถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ลุยศึก เวิลด์ คัพ 2010 แต่ ฟาบิโอ คาเปลโล นายใหญ่ตอนนั้นเมินใช้บริการระบบกองกลาง 3 คนเช่นเดียวกับ สเปน, เนเธอร์แลนด์ และ เยอรมนี โดยยึดแบบ 4-4-2 สุดท้ายล้มเหลวไม่เป็นท่าตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายแพ้ “อินทรีเหล็ก” 1-4

ฟุตบอลโลกที่ แอฟริกาใต้ มิลเนอร์ ได้สตาร์ท 3 จาก 4 เกม ทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี ทุ่มเงิน 26 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,400 ล้านบาท) ดึงไปเสริมทัพ โดยเล่นอยู่ถึง 5 ปีผ่านประสบการณ์มากมาย ทั้งระดับสโมสรที่ได้แชมป์ พรีเมียร์ ลีก 2 สมัย, เอฟเอ คัพ กับ ลีก คัพ อย่างละสมัย ลุยศึก ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ส่วนตำแหน่งเล่นได้หมดในแผงกองกลาง จะเรียกว่าปีกตัวรับด้วยก็ได้

ส่วนการย้ายไปอยู่ ลิเวอร์พูล แบบฟรีทรานเฟอร์ช่วงซัมเมอร์นี้ เรายังไม่เห็นกลยุทธ์ที่ชัดเจนจาก ร็อดเจอร์ส แต่นักวิจารณ์มองว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเล่นคู่ตรงกลางกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ทั้งสองคนมีลักษณะที่คล้ายกัน ด้านแนวทางของกุนซือจากไอร์แลนด์เหนือ ก็ต้องการนักเตะที่ยืดหยุ่นสูง อาจจะเติม ลูคัส เลวา ลงมาคุมห้องเครื่อง 3 คน แล้วให้ ฟิลิปเป คูตินโญ อยู่ด้านหน้าในระบบไดมอนด์

ทว่า มีความเสี่ยงสำหรับ มิลเนอร์ หากว่า ร็อดเจอร์ส ให้เล่นเป็นวิงแบ็ก หรือเลวร้ายกว่านั้น คือ ฟูลแบ็ก ซึ่ง เฮนเดอร์สัน กับ ราฮีม สเตอร์ลิง เคยเจอมาเมื่อปีที่แล้ว แน่นอนอาจจะเล่นได้ แต่ไม่ใช่นักเตะที่จะทะลุทะลวงไปกับบอลได้ดีนัก ดังนั้น การย้ายไปของ เจอร์ราร์ด ก็เหมือนช่องที่เปิดกว้างแล้ว อยู่ที่ว่ากุนซือ ลิเวอร์พูล จะเห็นและทดลองใช้อย่าง โอนีล หรือไม่ ซึ่งแมตช์อุ่นเครื่องนัดแรกปรีซีซันของ “หงส์แดง” ที่มาเยือนไทยอาจจะได้เห็นกัน

* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *