ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ก่อนหน้านี้หากเราจะหาคู่กัดวงการกอล์ฟอาจต้องย้อนไปไกลถึงทศวรรษที่ 60 แจ๊ค นิคคลอส กับ อาร์โนลด์ พาลเมอร์ ที่ปัจจุบันก็กลายเป็นคุณปู่ไปทั้งคู่แล้ว ตามด้วย เบน โฮแกน กับ แซม สนีด หรือ เกร็ก นอร์แมน กับ นิค ฟัลโด จนกระทั่งล่าสุด ไทเกอร์ วูดส์ ที่หาใครทาบยากจริงๆ แม้จะมี ฟิล มิคเคลสัน พุ่งขึ้นมา แต่สุดท้าย “พญาเสือ” ระเบิดตัวเองด้วยปัญหาครอบครัว, ผู้หญิง และอาการบาดเจ็บ
ส่วน รอรีย์ แม็คอิลรอย หนุ่มจากไอร์แลนด์เหนือ ยึดบัลลังก์มือ 1 ของโลกตอนนี้มาแล้ว 47 สัปดาห์ติดต่อกัน จนดูเหมือนว่าจะไร้คู่ต่อกร แต่ว่าเมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมาตำแหน่งมีสั่นสะเทือนความแรงน่าจะหลายริกเตอร์ เมื่อ จอร์แดน สปีธ ชาวอเมริกันวัย 21 ปีผงาดคว้าแชมป์ ยูเอส โอเพน ซึ่งถือเป็นแชมป์เมเจอร์ที่ 2 ติดต่อกันในปี 2015 โดยตอนนี้คะแนนทั้งคู่อยู่ที่ 12.77 กับ 11.06 ตามลำดับ
เมื่อต้นปีที่ผ่านมาที่ สปีธ ประเดิมคว้าแชมป์เมเจอร์แรกในชีวิตคือ เดอะ มาสเตอร์ส บรรดาเกจิยังไม่เชื่อมือ แต่พอได้เมเจอร์ที่ 2 ทุกคนจึงชี้มาที่ก้านเหล็กรายนี้ว่าจะขึ้นมาเป็นคู่กัดของ แม็คอิลรอย ที่สมน้ำสมเนื้อที่สุด
สปีธ กลายเป็นนักกอล์ฟอายุน้อยที่สุดนับตั้งแต่ เกเน ซาราเซน ทำเอาไว้เมื่อปี 1922 ที่คว้าแชมป์ 2 เมเจอร์ ขณะที่ แม็คอิลรอย เมื่อปี 2014 ก็คว้าแชมป์ 2 เมเจอร์คือ บริติช โอเพน กับ พีจีเอ แชมเปียนชิป รวมแล้วตอนนี้ทำไป 4 เมเจอร์ด้วยวัย 26 ปี
ทั้งคู่จะต้องขับเคี่ยวกันไปอีกร่วมทศวรรษ นอกจากแข่งกันเองแล้วจะต้องพยายามล้างภาพของวงการที่ ไทเกอร์ วูดส์ อดีตมือ 1 ของโลกชาวอเมริกัน ฝากเอาไว้ ซึ่งไม่ใช่แค่ในสนามเท่านั้น “พญาเสือ” เจ้าของ 14 แชมป์ระดับเมเจอร์ยังทำไว้ยามอยู่นอกสังเวียนคือการฟันเงินจากการเป็นพรีเซนเตอร์มหาศาล ซึ่งทั้ง แม็คอิลรอย กับ สปีธ ยังเทียบไม่ได้ แต่ประเด็นนี้ยังค่อนข้างไกล เพราะกอล์ฟนั้นยังไม่ถูกคลั่งไคล้เท่า เบสบอล หรือ บาสเกตบอล ที่ผู้เล่นฟันเงินระดับ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,400 ล้านบาท) ต่อปี
ขณะที่นักวิเคราะห์ระบุว่ามูลค่าทางการตลาดของ สปีธ ก็น่าจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าไม่ว่าจากนี้จะได้แชมป์เมเจอร์เพิ่มขึ้นหรือไม่ ปัจจุบันมีสัญญากับสินค้าอยู่เพียงไม่กี่เจ้าคือ อันเดอร์ อามอร์, เอที แอนด์ ที, โรเล็กซ์ และ ไทเทิลลิสต์ แต่ผลงานเพียงแค่เท่านี้ก็น่าจะทำให้ผลิตภัณฑ์อีกมากมายวิ่งเข้าหา คาดอนาคตน่าจะทำเงิน 10-15 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 340-510 ล้านบาท) ต่อปี ในฐานะพรีเซนเตอร์เพียงอย่างเดียว
สปีธ หนุ่มน้อยจากเท็กซัสที่ทิ้งการเรียนและเทิร์นโปร ส่งสัญญาณเตือนว่า “คู่แข่งของผมมีมากมายทั้ง แม็คอิลรอย รวมถึง ริคกี ฟาวเลอร์ ทุกคนล้วนยังอายุไม่มากและมีเกมการเล่นที่น่ากลัว ส่วนตัวผมเองนั้นยังเด็กนัก เหนืออื่นใดผลงานแค่นี้ของตนเองก็มีความสุขมากแล้ว แต่จากนี้ก็ต้องมุ่งเป้าไปที่การไล่ล่ามือหนึ่ง”
เมื่อฤดูกาล 2014 ปิดฉาก สปีธ ตามหลัง แม็คอิลรอย 5.30 แต้ม แต่ตอนนี้หายใจรดต้นคอเหลือ 1.72 แต้ม จากนี้เมเจอร์ที่ 3 ของปีคือศึก บริติช โอเพน ก็จะแข่งขันกันระหว่างวันที่ 16-19 กรกฎาคมนี้ ณ สนาม เซนต์ แอนดรูว์ส ประเทศอังกฤษ ซึ่งรับรองว่ามันแน่นอน
แม้ว่า แม็คอิลรอย จะมีประสบการณ์มากกว่า แต่จากนี้จะต้องลงเล่นท่ามกลางความกดดันที่เพิ่มมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ถือว่าผ่อนคลายสามารถที่จะผิดพลาดได้ เนื่องจากไม่เคยมีใครกระชั้นขนาดนี้ ส่วน สปีธ ก็ยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจพัฒนาขึ้นในทุกๆ ด้าน จนประกาศกร้าวหลังได้แชมป์ ยูเอส โอเพน ว่าต้องการเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้า แกรนด์ สแลม ออฟ กอล์ฟ หรือซิวเมเจอร์ติดต่อกัน 4 รายการในปีนี้ ซึ่งฤดูกาล 2015 ก็ผ่านมาครึ่งทางแล้ว
พอล แม็คกินเลย์ ก้านเหล็กชาวไอริช กัปตัน ไรเดอร์ คัพ ชุดแชมป์ปี 2014 มองว่าจากนี้ผู้เล่นระดับ แม็คอิลรอย จะต้องแสดงปฎิกิริยาตอบโต้ หลังมี สปีธ มาเป็นแรงกระตุ้น ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ผู้เล่นเวิลด์คลาสพึงมี
“เมื่อผู้เล่นอย่าง สปีธ คว้าแชมป์เมเจอร์แรกได้สำเร็จก็เหมือนมีแรงกดดันและความคาดหวังบนบ่า แต่ทันทีที่ปลดเปลื้องด้วยการได้แชมป์เมเจอร์ที่ 2 จึงถือเป็นคนที่พิเศษมาก ขณะที่ แม็คอิลรอย ก็ต้องถีบตัวเองขึ้นมา เพราะอย่าง 2 เมเจอร์หลังสุดนี้เหมือนเครื่องจะร้อนช้าไปหน่อย แต่สิ่งนี้ก็จะเป็นเหมือนแรงผลักชั้นดี” โปรวัย 48 ปีเผย
แน่นอนว่าจากนี้เวลาจะเป็นเครื่องบอกเอง แต่หนึ่งสิ่งที่แน่ใจเลยก็คือ แม็คอิลรอย กับ สปีธ จะเป็นคู่ต่อสู้ที่ถูกบันทึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของเกมกอล์ฟบทหนึ่ง สำหรับฤดูกาล 2015 ที่เหลือนับจากนี้เป็นต้นไป
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!***