ASTV ผู้จัดการรายวัน - ศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2014-15 รูดม่านอย่างเป็นทางการเมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งตำแหน่งแชมป์ทุกคนทราบไปก่อนหน้านี้แล้วว่าตกเป็นของ เชลซี แต่ตลอดระยะเวลา 9 เดือนมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายที่ต้องถูกบันทึกเอาไว้ในพงศาวดารลูกหนังลีกสูงสุดเมืองผู้ดีอีกครั้งดังนี้
อำลาตำนาน - นับตั้งแต่สถาปนาลีกสูงสุดของอังกฤษเป็น พรีเมียร์ ลีก เมื่อปี 1992 มีนักเตะที่ถูกกล่าวขวัญขึ้นมากมายในฐานะตำนาน ซึ่งฤดูกาล 2014-15 เป็นปีสุดท้ายของ 3 คนนี้เริ่มตั้งแต่ สตีเวน เจอร์ราร์ด กองกลาง ลิเวอร์พูล ที่ไม่เคยได้สัมผัสถ้วยใบนี้อำลาไปอยู่กับ ลอส แองเจลิส กาแล๊คซี แห่งศึก เมเจอร์ ลีก ซอคเกอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับ แฟรงค์ แลมพาร์ด มิดฟิลด์ที่ยิงสูงสุดตลอดกาลอันดับ 4 คือ 176 ประตูกลับสู่ต้นสังกัดที่แท้จริง นิว ยอร์ก ซิตี เอฟซี หลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี ยืมมาใช้งาน ซึ่งก็ซัดลูกอำลาเกมเปิดบ้านชนะ เซาแธมป์ตัน 2-0 ปิดท้ายที่ ดิดิเยร์ ดร็อกบา หอกวัย 37 ปีของ เชลซี ที่มาอยู่กับทีมดังของลอนดอนคำรบ 2 เจ้าตัวประกาศขอเล่นอีกปีเดียว แต่คงเป็นสังกัดอื่นที่ได้ลงสนามากกว่านี้
ยอดกุนซือ - มีนายใหญ่หลายคนที่ทำผลงานเข้าตา อาทิ โรนัลด์ คูมัน นายใหญ่ เซาแธมป์ตัน เพียงแค่ปีแรกจบอันดับที่ 7 เสียประตูน้อยที่สุด 33 ลูกจาก 38 นัดเป็นรองเพียงแค่แชมป์อย่าง เชลซี ทั้งที่ถิ่น เซนต์ แมรีส์ เสียนักเตะแกนหลักแทบทุกซัมเมอร์ โดย "นักบุญ" วืดโควตา ยูโรปา ลีก แค่ 2 แต้มเท่านั้น ตามด้วย อลัน พาร์ดิว คนที่ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ไม่เห็นค่า สาวก "ทูน อาร์มี" โห่ไล่ จึงหนีมาคุม คริสตัล พาเลซ จบที่ 10 ขณะเดียวกัน "สาลิกาดง" อยู่ที่ 15 ต้องดิ้นจนถึงนัดสุดท้ายที่เปิดบ้านชนะ เวสต์ แฮม ยูไนเต็ด 2-0 ปิดท้ายที่ แกรี มังก์ ของ สวอนซี ซิตี โดยหากพิจารณาจากยอดเสริมทัพ 21.65 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1 พันล้านบาท) กับ 56 แต้มที่เก็บมาได้จบที่ 8 คิดเป็นเงินที่เสียไปคือ 386,607 ปอนด์ (ประมาณ 19.3 ล้านบาท) ต่อแต้ม ถือว่าคุ้มที่สุด
ซื้อห่วยที่สุด - สาวก "เดอะ ค็อป" ของ ลิเวอร์พูล อาจอยากยกตำแหน่งนี้ให้ มาริโอ บาโลเตลลี (กองหน้า) ไม่ก็ เดยัน ลอฟเรน (กองหลัง) แต่ที่น่าผิดหวังสุดเห็นจะเป็นเจ้าของสถิติค่าตัวโยกย้ายแพงที่สุดบนเกาะอังกฤษ 59.7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3 พันล้านบาท) อังเคล ดิ มาเรีย ปีกจาก รีล มาดริด ที่พา อาร์เจนตินา เข้ารอบชิงฟุตบอลโลก 2014 เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอมควักเงินสูงขนาดนี้ซื้อ ดิ มาเรีย แข้งที่ รีล มาดริด โละ แรกเริ่มเดิมทีก็ทั้งยิงทั้งจ่าย แต่หลังๆ ไม่เข้ากับระบบของ หลุยส์ ฟาน กัล ทำให้ตกเป็นตัวสำรองของ แอชลีย์ ยัง เพิ่งจะได้โอกาสสตาร์ทนัดสุดท้ายที่บุกเสมอ ฮัลล์ ซิตี 0-0 แต่เหมือนโชคชะตาไม่เข้าข้างเล่นไปได้แค่ 23 นาทีต้องถูกเปลี่ยนออกเพราะอาการบาดเจ็บ จนมีข่าวว่าอาจจะขายขาดทุนช่วงปิดฤดูกาลนี้ เพราะนายใหญ่ชาวดัตช์เซ็น เมมฟิส เดปาย ปีกตัวใหม่มาจาก พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน
"หงส์" ต้องนับ 1 ใหม่ - หลังปีที่แล้วที่เกือบได้แชมป์ พรีเมียร์ ลีก ซึ่งจะถือเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษครั้งแรกรอบ 24 ปี รวมถึงได้กลับไปเล่น ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก แต่จากนี้ ลิเวอร์พูล ต้องออกสตาร์ทใหม่ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเป็นกุนซือคนเดิมคือ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส หรือไม่ เพราะเสริมทัพผิดพลาดตั้งแต่ซัมเมอร์ที่ขาย หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าทีมชาติอุรุกวัย ให้ บาร์เซโนา ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,750 ล้านบาท) แต่เงินที่ได้มากลับแปรเปลี่ยนได้ไม่คุ้มค่า แถมปิดฤดูกาลนี้ต้องเสีย ราฮีม สเตอร์ลิง ปีกทีมชาติอังกฤษ ที่จะไม่ต่อสัญญา นอกจากนี้การอำลา เจอร์ราร์ด กองกลางกัปตันทีมก็ไม่สวยนัก โดยก่อนหน้านี้แข้งตำนานถิ่น แอนฟิลด์ ไม่เคยแพ้ด้วยสกอร์ 5 ลูกมาก่อน สุดท้ายบุกไปเสียท่า สโต๊ค ซิตี 1-6 แม้จะยิงประตูอำลาได้ ทว่าคงไม่ค่อยมีใครจดจำนัก เรียกได้ว่าเป็นอีกปีที่คือรอยด่างของสโมสรและผู้เล่นอย่างแท้จริง
รอดเหลือเชื่อ - เลสเตอร์ ซิตี ที่มีเจ้าของสโมสรเป็นคนไทย กลายเป็นทีมที่ 2 ที่รอดตกชั้นต่อจาก เวสต์ บรอมวิช อัลเบียน ที่ทำเอาไว้ฤดูกาล 2004-05 คือจมบ๊วยช่วงเทศกาลคริสต์มาส แต่ว่า "จิ้งจอกสีน้ำเงิน" มีฮึดตอนปลายฤดูกาลชนะ 4 นัดรวดเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ก่อนที่ 9 นัดสุดท้ายจะเก็บไป 22 แต้มจาก 27 แต้มส่งท้ายด้วยฟอร์มดุเปิดบ้านยำใหญ่ ควีนส์ ปาร์ค เรนเจอร์ส 5-1 จึงปิดจ็อบด้วยอันดับ 14 นอกจากนักเตะแล้วก็ต้องยกความดีความชอบให้กับกุนซืออย่าง ไนเจล เพียร์สัน รวมถึงบอร์ดบริหารที่เชื่อใจจนทำได้สำเร็จ ส่วนทีมที่ชะตาขาดได้แก่ ฮัลล์ ซิตี (18) เบิร์นลีย์ (19) และ คิวพีอาร์ (20)
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *