xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนรอยทุนไทยยึดสโมสรยุโรป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

แม้ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย จะไม่เคยเลยที่จะผ่านเข้าสู่การแข่งขันฟุตบอลระดับโลก ทว่าเกมลูกหนังกลับเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย พิสูจน์ได้จากการที่มีกลุ่มทุนไทยให้ความสนใจชมฟุตบอลต่างประเทศ โดยเฉพาะฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ว่ากันว่าการประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดครั้งล่าสุดมีมูลค่านับหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว

นอกจากการที่มีกลุ่มไทยให้ความสนใจในการประมูลเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลรายการใหญ่อย่าง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, ลาลีกา ลีก สเปน, กัลโช เซเรีย อา อิตาลี เพื่อนำมาสนองความต้องการของคอลูกหนังชาวไทยแล้ว เหล่าบรรดาเศรษฐีในเมืองไทยยังนิยมชมชอบกับการทุ่มเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเพื่อเป็นเจ้าของทีมดังจากลีกยุโรปอีกด้วย

1. ทักษิณ ชินวัตร ถือเป็นคนไทยคนแรกที่บุกเบิกตลาดการเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลในต่างแดน หลังจากตัดสินใจทุ่มเงิน 81.6 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 5,700 ล้านบาท ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยได้จนเกินกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ของสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี เมื่อปี 2550 โดยก่อนหน้านี้ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เคยตกเป็นข่าวว่าพยายามที่จะซื้อสโมสรอื่นๆ อาทิ ฟูแลม, วูล์ฟแฮมป์ตัน รวมทั้ง ลิเวอร์พูล ถึงขั้นเคยเชิญ ริก แพร์รี ซีอีโอของทีม "หงส์แดง" เดินทางมาหารือที่ทำเนียบรัฐบาลในปี 2547 มาแล้ว ทว่าสุดท้ายดีลนั้นไม่เป็นผล เมื่อโดนกระแสต่อต้านจากประชาชนในประเทศ หลังมีการโยนหินถามทางว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะนำเงินหลวงมาใช้ในการลงทุนกับทีมดังแห่งถิ่นแอนฟิลด์

สำหรับการมาเป็นเจ้าของสโมสร "เรือใบสีฟ้า" ของ "เสี่ยแม้ว" แม้จะเป็นห้วงเวลาไม่นาน แต่ภายหลังมีการขายทำกำไรให้กับ บริษัท อาบูดาบี ยูไนเต็ดกรุ๊ป อินเวสท์ เมนท์ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ ลิมิเต็ด กลุ่มทุนจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นจำนวนถึง 150 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 9,000 ล้านบาท พร้อมกับยกระดับ แมนฯ ซิตี ด้วยการทุ่มเงินซื้อผู้เล่นดาวดังเข้าสู่ทีมจนคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก มาครองได้สำเร็จ
เจ้าสัววิชัย เจ้าของ เลสเตอร์ ซิตี
2. วิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าสัว "คิงเพาเวอร์" ได้รับการคาดหมายว่าน่าจะหมดเงินไปถึง 35 ล้านปอนด์ หรือ จากการทุ่มซื้อทีม "จิ้งจอกสีน้ำเงิน" เลสเตอร์ ซิตี ที่เล่นอยู่ในลีกรองอย่าง เดอะ แชมเปียนชิป เมื่อเดือนสิงหาคม 2553 ก่อนจะใช้เงิน และเวลาในการปลุกปั้นทีมหลายฤดูกาล จนสามารถก้าวสูเป้าหมายคือการเลื่อนชั้นสู่ พรีเมียร์ลีก แม้ฤดูกาลที่ผ่านมาจะทุ่มเงินเพื่อดึงตัวแข้งฝีเท้าดีอย่างดูโอ "ฟ้าขาว" เลโอนาร์โด อุลลัว หอกตัวเก่ง กับ เอสเตบัน กัมบิอัสโซ มิดฟิลด์จอมเก๋ามาผนึกกำลังกัน ทว่าปัจจุบันยังคงจมบ๊วยของลีกสูงสุด และมีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะไม่รอดจากการตกชั้น
สัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา ระดมทุนมาซื้อ เรดดิง
3. สัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา ประธานบริหารสโมสร เพื่อนตำรวจ ในศึกฟุตบอลไทยพรีเมียร์​ลีก จัดการเข้าเทกโอเวอร์ สโมสร "เดอะรอยัลส์" เรดดิง แห่งเดอะ แชมเปียนชิป เป็นตัวเงินราว 35 ล้านปอนด์ เมื่อเดือนมิถุนายน 2557 โดยมีการประเมินว่าเงินจำนวนดังกล่าวมาจากธุรกิจในเครือ ร่วมระดมทุนจากนักลงทุนกลุ่มอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งการมาของ "เสี่ยบิ๊ก" มีการดึงตัวผู้เล่นอย่าง แอนตัน เฟอร์ดินานด์ อดีตปราการหลังดาวดังเด็กสร้างของทีม "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด มาร่วมทีม ซึ่งแม้จะมีเป้าหมายในการนำทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดตามรอย เลสเตอร์ ซิตี ทว่าปัจจุบันมีแต้มห่างจาก นอริช ซิตี ทีมอันดับ 6 ที่เป็นโควตาสุดท้ายสำหรับเพลย์ออฟ เลื่อนชั้นถึง 16 แต้ม ยากยิ่งต่อความหวังในการเลื่อนชั้น
เดชพล จันศิริ เจ้าของ นกเค้าแมว เชฟฟิลด์ เวนสเดย์
4.เดชพล จันศิริ นักธุรกิจผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่แข็ง แห่ง บริษัท ไทยยูเนียน โฟรเซน โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF ตัดใจควักเงินส่วนตัว ประมาณ 30 ล้านปอนด์ หรือ 1,480 ล้านบาท เพื่อเข้ามานั่งเป็นเจ้าของสโมสร "นกเค้าแมว" เชฟฟิลด์ เวนสเดย์ แห่งเดอะ แชมเปียนชิป อังกฤษ โดยเป้าหมายก็อยู่ที่การเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดเช่นกัน และปัจจุบันถือว่าแทบหมดลุ้นกับการรั้งอันดับ 11 ที่ห่างทีมอันดับ 6 โควตาเพลย์ออฟถึง 13 คะแนน
บี เตชะอุบล (คนกลาง) เคยจัดฟุตบอลรายการใหญ่ ด้วยการนำตำนานอย่าง ฟิโก กับ คันนาวาโร มาแข่งขันที่เมืองไทย เมื่อปีที่แล้ว
สำหรับนักธุรกิจไทยรายล่าสุดที่ตกเป็นข่าวแสดงความสนใจในการซื้อหุ้นสโมสรต่างประเทศคือ บี เตชะอุบล นักธุรกิจผู้มีชื่อเสียงในตลาดหลักทรัพย์ แสดงความสนใจในหุ้นของทีม "ปิศาจแดงดำ" เอซี มิลาน สโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่อันโด่งดังจากการประสบความสำเร็จจนเป็นตำนานแห่ง กัลโช เซเรีย อา อิตาลี ที่เคยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดถึง 18 ครั้ง และเป็นแชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ ลีกมาแล้วถึง 7 สมัย ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี อดีตนายกรัฐมนตรีจอมอื้อฉาวของ อิตาลี ซึ่งรายงานจากสื่อต่างประเทศระบุว่ามีการยื่นข้อเสนอซื้อหุ้นเพียง 30 เปอร์เซ็นต์เป็นเงินสูงกว่า 300 ล้านยูโร หรือประมาณ 11,100 ล้านบาท แต่ก็ยังโดนปฏิเสธอย่างไร้เยื้อใย และหากว่ามีการเทกโอเวอร์ในกรณีนี้เกิดขึ้นจริง คาดว่าจะเป็นดีลของนักธุรกิจชาวไทย กับสโมสรฟุตบอลต่างประเทศที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์อีกด้วย
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *


กำลังโหลดความคิดเห็น