“มู” ข่มไม่เคยแพ้ “เวนเกอร์” บุกถิ่น “ปืน” เพื่อแชมป์ลีก

เอเยนซี - ศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายนนี้น่าจะเป็นเกมชี้แชมป์ประจำฤดูกาล 2014-15 อย่างแท้จริง เมื่อ “ปืนโต” อาร์เซนอล จะเปิด เอมิเรตส์ สเตเดียม รับมือจ่าฝูง เชลซี อาคันตุกะร่วมกรุงลอนดอน โดยเจ้าถิ่นจำเป็นยิ่งที่จะต้องชนะเพื่อให้การชิงชัยถ้วยหัวมงกุฎประจำปีนี้ยังดำเนินต่อไป

เชลซี กุมทุกอย่างอยู่ในมือสถานการณ์นำเป็นจ่าฝูงมี 76 แต้มจาก 32 นัดทิ้ง อาร์เซนอล 10 แต้ม ดังนั้นแมตช์นี้ขอแค่เสมอ จึงคาดว่า โชเซ มูรินโญ นายใหญ่ชาวโปรตุกีส จะวางแผนเน้นแนวรับ 2 ชั้นแน่นหนายิ่งกว่าเกมล่าสุดที่เปิดถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 เมื่อวันเสาร์ที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา

เกมดังกล่าว แมนฯยู เล่นได้น้ำได้เนื้อกว่า แต่สุดท้ายเป็น เชลซี ที่ชนะ แม้ถูกวิจารณ์ แต่ มูรินโญ ประกาศกร้าวไม่สนคำครหา รวมถึงสถิติครองบอลน้อยกว่า ขอให้ได้ 3 แต้มกับแชมป์เป็นพอ หากทำสำเร็จก็จะถือเป็นการคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในการกลับมาคุมถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ คำรบ 2 ส่วนปีที่แล้วได้ถ้วย ลีก คัพ มาครองแล้ว

แต่ถ้า อาร์เซนอล ชนะช่องว่างจะเหลือ 7 แต้มกับโปรแกรม 5 นัดบอกได้คำเดียวว่าสนุก เชลซี ต้องเจอกับ เลสเตอร์ ซิตี (เยือน) คริสตัล พาเลซ (เหย้า) ลิเวอร์พูล (เหย้า) เวสต์ บรอมวิช อัลเบียน (เยือน) และ ซันเดอร์แลนด์ (เหย้า) ส่วน “ปืนโต” พบ ฮัลล์ ซิตี (เยือน) สวอนซี ซิตี (เหย้า) แมนฯยู (เยือน) ซันเดอร์แลนด์ (เหย้า) และ เวสต์ บรอมวิช (เหย้า)

แมตช์นี้จึงเต็มไปด้วยไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้ เริ่มตั้งแต่เกมแรกของฤดูกาลนี้ เชลซี เปิดบ้านชนะ 2-0 มีประเด็นกระทบกระทั่งกันของกุนซือ 2 ฝั่ง ต่างฝ่ายต่างอ้างเหตุผล โดย มูรินโญ บอกว่าอีกฝ่ายเข้ามาป้วนเปี้ยนพื้นที่ตนจึงต้องผลักออกไป แต่ เวนเกอร์ บอกไปดูอาการบาดเจ็บลูกทีม ที่มีการปะทะหนัก เหนืออื่นใดก็เกิดจากการยั่วยุไปมา พร้อมฟ้องกรรมการว่าควรที่จะแจกใบแดงหลายๆ จังหวะ

กระนั้นก็ตาม เวนเกอร์ มีสถิติไม่ดีในการคุมทัพพบ มูรินโญ เนื่องจาก 12 นัดที่เจอกัน เชลซี ชนะ 7 เสมอ 5 นัดยิงไปได้ถึง 21 ประตู ขณะที่ อาร์เซนอล ไม่ชนะเลยยิงได้แค่ 6 ประตูเท่านั้น แถม 4 ฤดูกาลที่ผ่านใน พรีเมียร์ ลีก กุนซือชาวโปรตุเกสนำทีมจบอันดับดีกว่าทั้งสิ้นไม่นับปีนี้คือ 2004-05 (ที่ 1 กับที่ 2) 2005-06 (ที่ 1 กับที่ 4) 2006-07 (ที่ 2 กับที่ 4 ) และ 2013-14 (ที่ 3 กับที่ 4)

เกมลีกนัดล่าสุด อาร์เซนอล บุกชนะ เบิร์นลีย์ 1-0 ก่อนทำศึก เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศต่อเวลาเฉือน เรดดิง 2-1 ถือเป็นทีมที่มักแรงปลายช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง เช่นเดียวกับปีนี้ที่ตอนนี้ชนะมา 8 นัดติดต่อกันในลีกถือว่ามากที่สุด (นำช่วงพักครึ่งถึง 7 เกม) แต่ยังไม่ได้นานที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งก็เป็น “ปืนโต” ที่ทำเอาไว้ปี 2002 ถึง 14 นัดเลยทีเดียว หากชนะ เชลซี ก็จะยืดเป็น 9 นัดเท่ากับที่เคยทำได้ปี 2004

คีย์แมนของ อาร์เซนอล เกมนี้เป็น 2 แนวรุก อเล็กซิส ซานเชซ กับ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่ยิงไปแล้วคนละ 14 ประตูในลีก โดยปีกทีมชาติชิลีเพิ่งเหมา 2 ประตูในศึก เอฟเอ คัพ ด้วย ส่วนกองกลางเป็น เมซุต โอซิล ที่ถูกวิจารณ์ต่อเนื่องทว่าก็ลบคำครหาด้วยการแอสซิสต์ลูกสวยๆ รวมถึง อารอน แรมซีย์ นอกจากนี้ด่านสุดท้ายเป็น ดาวิด ออสปินา มือกาวที่ลงเล่นครบ 720 นาทีตลอด 8 นัดที่คว้าชัยรวด

แต่จริงๆ แล้วน่าจะเป็น ฟรองซัวส์ โคเกแลง กองกลางตัวตัดเกมชาวฝรั่งเศสมากกว่า ซึ่งได้รับคำชมล้นหลาม โดยนักเตะวัย 23 ปีต้องหยุด เอเดน ฮาซาร์ด กับ เชส ฟาเบรกาส 2 เพลย์เมกเกอร์ของ เชลซี ทำให้ออกมากล่าวถึงภารกิจนี้ว่า “เป็นแมตช์ที่หนักมาก ผมต้องเจอกับ ฮาซาร์ด ที่ถือว่าเป็นนักเตะดีที่สุดของลีกปีนี้ก็ว่าได้ ดังนั้นจึงต้องมีสมาธิตลอด 90 นาที นอกจากนี้ยังมี เนมานยา มาติช ที่ถือเป็นตำแหน่งที่สำคัญหน้ากองหลัง ทั้งหมดคืองาน เพราะทีมต้องการตัวทำลายเกมชั้นดีมานานแล้ว"

ฟาก เชลซี ไม่มีปัญหาการจัดทัพคงยึดตัวเดิม แต่ขาด ดิเอโก ดาวยิงตัวเก่งทีมชาติสเปนที่ซัดไปแล้ว 19 ประตูเนื่องจากมีอาการบาดเจ็บ ตัวแทนน่าจะเป็น ดิดิเยร์ ดร็อกบา หรือไม่ก็ โลอิค เรมี โดยรายหลังอาจจะต้องเช็กความฟิต ส่วนมิดฟิลด์มีความเป็นไปได้สูงที่ เคิร์ต ซูมา กองหลังจะถูกดันมาเล่นมิดฟิลด์ร่วมกับ มาติช และ เชส ให้แน่นยิ่งขึ้นเหมือนเกมกับ แมนฯยู สำหรับนัดสุดท้ายที่บุกพ่าย อาร์เซนอล ในลีกต้องย้อนไปปี 2010 สกอร์ 1-3

* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *