คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
ศึกลูกหนัง โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก 2015 กลับมาฟาดแข้งกันอีกครั้ง หลังจากพักหลบให้กับโปรแกรมทีมชาติ แต่ไม่ทันไรก็มีประเด็นร้อนเกิดขึ้นทันที หนำซ้ำยังร้ายแรงถึงขั้นมีการชักปืนขึ้นมายิง
โดยเหตุการณ์วุ่นวายดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจบเกมที่ สุพรรณบุรี เอฟซี เปิดบ้านเฉือน เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด 2-1 เมื่อค่ำวันที่ 4 เมษายน ที่ผ่านมา จากการกระทบกระทั่งกันระหว่างแฟนบอล “กิเลนผยอง” กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประจำการดูแลความสงบเรียบร้อยในสนาม
สืบสาวต้นตอแทบทุกฝ่ายทั้งเจ้าหน้าที่สโมสรเจ้าบ้าน แมตช์คอมมิชชันเนอร์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้การเป็นเสียงเดียวกันว่า เกิดจากการที่ กองเชียร์เอสซีจี เมืองทองฯ กลุ่มหนึ่ง จุดพลุขึ้น 3-4 ดอก บริเวณภายนอกสนาม ห่างจากอัฒจันทร์ราว 70 เมตร หลังจบเกมไปแล้วประมาณ 30 นาที ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จาก สภ.เมืองสุพรรณบุรี รายหนึ่งจึงปรี่เข้าไปหมายที่จะจับตัวคนจุด เพราะถือเป็นการกระทำผิดกฎของทีพีแอล
ทว่าฝั่งแฟนบอลไม่ยอมก่อนจะการปะทะกันและมีพวกตามมาสมทบอีกเกือบ 40 คน ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดขึ้นไปบนอัฒจันทร์ แต่แฟนบอลก็ยังปรี่ตามเข้าไป และมีการยื้อยุดฉุดกระชากกัน ทางเจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจใช้ปืนพกยิงขู่ขึ้นฟ้าเพื่อเป็นการป้องกันตัว พร้อมฉีกหายไปเก็บตัวที่ห้องพัก จึงทำให้เหล่ากองเชียร์ไม่พอใจ ตั้งกลุ่มเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ออกมาขอโทษเพราะมองว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ
ซึ่งการกระทำของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้ต้องใช้เวลาสอบสวนทุกฝ่ายให้ชัดเจน ก่อนจะตัดสินว่าทำไปเพราะป้องกันตัว หรือว่าเกินกว่าเหตุ ซึ่งหากเป็นเคสหลัง สุพรรณบุรีฯ ในฐานะเจ้าบ้านก็มีสิทธิ์จะโดนปรับเงิน และอันที่จริงก็ต้องตำหนินายตำรวจที่ชักปืนออกมาขู่ เนื่องจากถือเป็นภาพลักษณ์ของความรุนแรงที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในสนามกีฬา แต่ก็ต้องขอชื่มชมที่ยังมีสติพอเพียงแค่ยิงปืนขึ้นฟ้า ไม่บันดาลโทสะใส่คู่กรณี
เหนือสิ่งอื่นใดจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นี้คงหนีไม่พ้นกองเชียร์ เอสซีจี เมืองทองฯ ที่จุดพลุ(อีกแล้ว)ทั้งที่มีกฎห้ามอย่างชัดเจน และมีการรณรงค์กันอย่างกว้าวขวาง ซึ่งข้อดีหรือข้อเสียในการจุดพลุ หรือจุดแฟร์ที่เป็นเพียงควันไม่มีอันตรายนั้นคงยกยอดไม่ขอพูดถึง เนื่องจากแล้วแต่รสนิยมของแต่ละคนว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่ในเมื่อฝ่ายจัดการแข่งขันออกกฎมาชัดเจนว่าห้ามจุด จึงเป็นเรื่องที่ต้องทราบและปฏิบัติตามกันทุกสโมสร ซึ่งทุกวันนี้กองเชียร์ทีมอื่นๆในลีกก็ให้ความร่วมมือดี เพราะทำไปนอกจากจะไม่เกิดประโยชน์อะไรแล้ว ยังทำให้ต้นสังกัดเสียเงินค่าปรับอีก คงจะมีแต่กองเชียร์กลุ่มหนึ่งของ “กิเลนผยอง” เท่านั้นที่คิดว่าการกระทำนี้เท่เสียเต็มประดา แต่กลับโยนภาระไปให้สโมสรที่ตนเป่าประกาศบอกว่ารักว่าเชียร์สุดหัวใจ
สำหรับบทลงโทษของการที่กองเชียร์จุดพลุนั้น ขั้นต้นสโมสรจะโดนปรับเงิน 60,000 บาท และอาจทวีความแรงขึ้นในครั้งต่อๆไปหากเป็นความผิดซ้ำซ้อนไม่ยอมหยุด ซึ่งซีซันนี้แฟนคลับกิเลนผยอง เพิ่งจะละเมิดข้อห้ามเป็นครั้งแรก แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อฤดูกาลที่แล้วพบว่ามีการทำผิดลักษณะเดียวกันนี้ไปแล้วถึง 9 ครั้ง แม้ว่าทางสโมสรเอสซีจี เมืองทองฯ จะมีนโยบายไม่เห็นด้วย และพยายามขอความร่วมมือ รวมถึงออกบทลงโทษกับกองเชียร์ของตนที่ไม่ปฏิบัติตามนับครั้งไม่ถ้วน
อย่างที่ว่าแหละครับ ยังคงเป็นที่สงสัยของใครหลายคน ว่าในเมื่อทำไปแล้วมีแต่จะเกิดปัญหาแล้วพวกเขาเหล่านั้นยังจะจุดพลุกันไปทำไม ที่สำคัญไม่ต้องสนเสียงวิจารณ์จากแฟนบอลทีมอื่นก็ได้ ดูที่เพื่อนกองเชียร์ที่เขาเชียรทีมเดียวกับคุณนั่นแหละ ว่าเขาคอมเมนท์ แสดงความเห็นถึงพฤติการณ์เหล่านี้ว่าอย่างไรกันบ้าง แล้วจะรู้ว่าน่าเอือมขนาดไหน
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
ศึกลูกหนัง โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก 2015 กลับมาฟาดแข้งกันอีกครั้ง หลังจากพักหลบให้กับโปรแกรมทีมชาติ แต่ไม่ทันไรก็มีประเด็นร้อนเกิดขึ้นทันที หนำซ้ำยังร้ายแรงถึงขั้นมีการชักปืนขึ้นมายิง
โดยเหตุการณ์วุ่นวายดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจบเกมที่ สุพรรณบุรี เอฟซี เปิดบ้านเฉือน เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด 2-1 เมื่อค่ำวันที่ 4 เมษายน ที่ผ่านมา จากการกระทบกระทั่งกันระหว่างแฟนบอล “กิเลนผยอง” กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประจำการดูแลความสงบเรียบร้อยในสนาม
สืบสาวต้นตอแทบทุกฝ่ายทั้งเจ้าหน้าที่สโมสรเจ้าบ้าน แมตช์คอมมิชชันเนอร์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้การเป็นเสียงเดียวกันว่า เกิดจากการที่ กองเชียร์เอสซีจี เมืองทองฯ กลุ่มหนึ่ง จุดพลุขึ้น 3-4 ดอก บริเวณภายนอกสนาม ห่างจากอัฒจันทร์ราว 70 เมตร หลังจบเกมไปแล้วประมาณ 30 นาที ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จาก สภ.เมืองสุพรรณบุรี รายหนึ่งจึงปรี่เข้าไปหมายที่จะจับตัวคนจุด เพราะถือเป็นการกระทำผิดกฎของทีพีแอล
ทว่าฝั่งแฟนบอลไม่ยอมก่อนจะการปะทะกันและมีพวกตามมาสมทบอีกเกือบ 40 คน ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดขึ้นไปบนอัฒจันทร์ แต่แฟนบอลก็ยังปรี่ตามเข้าไป และมีการยื้อยุดฉุดกระชากกัน ทางเจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจใช้ปืนพกยิงขู่ขึ้นฟ้าเพื่อเป็นการป้องกันตัว พร้อมฉีกหายไปเก็บตัวที่ห้องพัก จึงทำให้เหล่ากองเชียร์ไม่พอใจ ตั้งกลุ่มเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ออกมาขอโทษเพราะมองว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ
ซึ่งการกระทำของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้ต้องใช้เวลาสอบสวนทุกฝ่ายให้ชัดเจน ก่อนจะตัดสินว่าทำไปเพราะป้องกันตัว หรือว่าเกินกว่าเหตุ ซึ่งหากเป็นเคสหลัง สุพรรณบุรีฯ ในฐานะเจ้าบ้านก็มีสิทธิ์จะโดนปรับเงิน และอันที่จริงก็ต้องตำหนินายตำรวจที่ชักปืนออกมาขู่ เนื่องจากถือเป็นภาพลักษณ์ของความรุนแรงที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในสนามกีฬา แต่ก็ต้องขอชื่มชมที่ยังมีสติพอเพียงแค่ยิงปืนขึ้นฟ้า ไม่บันดาลโทสะใส่คู่กรณี
เหนือสิ่งอื่นใดจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นี้คงหนีไม่พ้นกองเชียร์ เอสซีจี เมืองทองฯ ที่จุดพลุ(อีกแล้ว)ทั้งที่มีกฎห้ามอย่างชัดเจน และมีการรณรงค์กันอย่างกว้าวขวาง ซึ่งข้อดีหรือข้อเสียในการจุดพลุ หรือจุดแฟร์ที่เป็นเพียงควันไม่มีอันตรายนั้นคงยกยอดไม่ขอพูดถึง เนื่องจากแล้วแต่รสนิยมของแต่ละคนว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่ในเมื่อฝ่ายจัดการแข่งขันออกกฎมาชัดเจนว่าห้ามจุด จึงเป็นเรื่องที่ต้องทราบและปฏิบัติตามกันทุกสโมสร ซึ่งทุกวันนี้กองเชียร์ทีมอื่นๆในลีกก็ให้ความร่วมมือดี เพราะทำไปนอกจากจะไม่เกิดประโยชน์อะไรแล้ว ยังทำให้ต้นสังกัดเสียเงินค่าปรับอีก คงจะมีแต่กองเชียร์กลุ่มหนึ่งของ “กิเลนผยอง” เท่านั้นที่คิดว่าการกระทำนี้เท่เสียเต็มประดา แต่กลับโยนภาระไปให้สโมสรที่ตนเป่าประกาศบอกว่ารักว่าเชียร์สุดหัวใจ
สำหรับบทลงโทษของการที่กองเชียร์จุดพลุนั้น ขั้นต้นสโมสรจะโดนปรับเงิน 60,000 บาท และอาจทวีความแรงขึ้นในครั้งต่อๆไปหากเป็นความผิดซ้ำซ้อนไม่ยอมหยุด ซึ่งซีซันนี้แฟนคลับกิเลนผยอง เพิ่งจะละเมิดข้อห้ามเป็นครั้งแรก แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อฤดูกาลที่แล้วพบว่ามีการทำผิดลักษณะเดียวกันนี้ไปแล้วถึง 9 ครั้ง แม้ว่าทางสโมสรเอสซีจี เมืองทองฯ จะมีนโยบายไม่เห็นด้วย และพยายามขอความร่วมมือ รวมถึงออกบทลงโทษกับกองเชียร์ของตนที่ไม่ปฏิบัติตามนับครั้งไม่ถ้วน
อย่างที่ว่าแหละครับ ยังคงเป็นที่สงสัยของใครหลายคน ว่าในเมื่อทำไปแล้วมีแต่จะเกิดปัญหาแล้วพวกเขาเหล่านั้นยังจะจุดพลุกันไปทำไม ที่สำคัญไม่ต้องสนเสียงวิจารณ์จากแฟนบอลทีมอื่นก็ได้ ดูที่เพื่อนกองเชียร์ที่เขาเชียรทีมเดียวกับคุณนั่นแหละ ว่าเขาคอมเมนท์ แสดงความเห็นถึงพฤติการณ์เหล่านี้ว่าอย่างไรกันบ้าง แล้วจะรู้ว่าน่าเอือมขนาดไหน
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *