ASTVผู้จัดการวัน - ก่อนที่การแข่งขันฟุตบอล ไทย พรีเมียร์ ลีก ฤดูกาล 2015 จะเปิดฉากฟาดแข้งกันในวันที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ผ่านมาต้องตามหลังการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน ก อันเก่าแก่ด้วยการนำแชมป์ โตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก อย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มาดวลกับ บางกอกกล๊าส เอฟซี แชมป์ เอฟเอ คัพ ในเวลา 18.00 น. วันเสาร์ที่ 24 มกราคม 2558 ณ สนามศุภชลาศัย
สำหรับการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน ก ถือเป็นถ้วยพระราชทานที่เก่าแก่ที่สุด โดยเริ่มแข่งครั้งแรกใน พ.ศ. 2459 หรือ 99 ปีที่แล้ว แต่เดิมรายการนี้เปิดโอกาสให้สโมสรสมาชิกของสมาคมฟุตบอลเข้าแข่งขันเพื่อชิงถ้วยสุงสุดของประเทศมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทำเนียบแชมป์ 10 ปีหลังสุดของรายการนี้ ชลบุรี เอฟซี เป็นทีมที่คว้าแชมป์ได้มากที่สุดคือ 4 สมัย รองลงมาเป็น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เข้าชิง 3 ครั้ง ได้แชมป์ 2 ครั้งติดในปี 2556 และ 2557 ด้วยการชนะ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ทั้ง 2 ครั้ง
โดยสภาพทีม “เซราะกราว” แชมป์เก่า มีการปรับแต่งทีมด้วยการปล่อย นักเตะตัวหลักฤดูกาลที่ผ่านมาออกไปเป็นจำนวนมาก อาทิ คาร์เมโล กอนซาเลซ, ประทุม ชูทอง ย้ายไปร่วมทีม สุพรรณบุรี เอฟซี รวมถึง ฮาเวียร์ ปาตินโญ ดาวยิงคนสำคัญก็ถูกปล่อยไปอยู่ลีกแดนมังกร แล้วทดแทนด้วย ประกิต ดีพร้อม, นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม สองแกนหลักทีมชาติไทยชุดแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 มาประสานงานกับแข้งต่างชาติหน้าใหม่อย่าง กิลแบร์โต มาเชนา, ดิเอโก หลุยส์ ซานโต
ด้าน “กระต่ายแก้ว” ที่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างน้อย โดยได้ตัว แมตต์ สมิธ อดีตกองหลังทีมชาติออสเตรเลีย และ เลอันโดร โอลิเวียรา หัวหอกจอมเทคนิคเข้ามาเสริมทัพเท่านั้น บวกกับดาวเตะบางรายที่ดันขึ้นจากอคาเดมี รวมถึงผู้เล่นในประเทศที่ยังต้องรอขัดเกลาฝีเท้าก่อนส่งขึ้นชุดใหญ่ ขณะที่ดาวเตะที่ปล่อยออกไปล้วนไม่อยู่ในแผนการทำทีม ไม่ว่าจะเป็น ฟลาเวียน มิเชลลินี, ภูริทัต จาริกานนท์ และ อำนาจ แก้วเขียว ที่โรยราอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามถือเป็นข้อดีของทีมดังย่านรังสิต ที่เลือกนักเตะใหม่แบบใช้ได้เลยไม่ต้องรออย่าง 2 แข้งนอกมาผนึกกำลังหลักที่พาทีมคว้าแชมป์บอลถ้วย เอฟเอ คัพ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรอย่าง ดาร์โก ทาเชฟสกี, ลาซารัส คาอิมบี
เมื่อมองจากผลงานในฤดูกาลที่ผ่านมา บุรีรัมย์ฯ จบอันดับที่ 1 มี 79 คะแนน ขณะที่ “บีจี” อยู่กลางตาราง มีเพียง 49 คะแนนเท่านั้น แต่การคว้าแชมป์ฟุตบอล เอฟเอ คัพ และเมื่อดูจากตัวผู้เล่นแล้วถือว่าทีมดังจากย่านรังสิตไม่ได้เป็นรองยอดทีมจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือแต่อย่างใด ขณะที่เมื่อฤดูกาลที่แล้ว บางกอกกล๊าส ก็เคยเปิดบ้านเอาชนะ บุรีรัมย์ฯ 3-0 ในฟุตบอลลีก ขณะเดียวกัน ยังเขี่ย บุรีรัมย์ฯ ทีมเดียวกันนี้ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายฟุตบอล เอฟเอ คัพอีกด้วย
ในส่วนของฟอร์มการเล่น “ปราสาทสายฟ้า” เองแม้ปรับทีมขนานใหญ่ แต่ก็ยังหาความคงเส้นคงวาไม่ได้ เนื่องจาก ผลงานสามนัดหลังสุดยังควานหาชัยชนะไม่เจอ เริ่มตั้งแต่ แพ้ กัลฟ์ สระบุรี เอฟซี 0-1 ก่อนที่จะเสมอ เซียงไฮ เซินซิน อดีตแชมป์ไชนิส ซูเปอร์ลีก 1 ล่าสุดเพิ่งแพ้ ชัยนาท ฮอร์นบิล 0-2 เมื่อวันที่ 17 มกราคม ที่ผ่านมา ผิดกับ พลพรรค “กระต่ายแก้ว” อุ่นเครื่อง 4 นัดหลังกำชัยไปถึง 3 แมตช์ด้วยกัน
ซึ่ง เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยอมรับว่า สภาพทีมยังไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร ทั้งความเข้าใจในทีม และความฟิต “ต้องยอมรับว่าสภาพทีมของเราตอนนี้ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ ถ้าพูดความจริงกันก็แค่ 70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เนื่องจากเรามีการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นเยอะทั้งนักเตะต่างชาติและนักเตะไทย ทำให้ยังมีปัญหาเรื่องความเข้าใจแผนการเล่น รวมไปถึงความฟิต ที่ยังมีปัญหาอยู่ แต่อย่างไรก็ตามในศักยภาพของนักเตะในแต่ละตำแหน่งถือว่าแข็งแกร่งขึ้น ส่วนการรับมือกับนักเตะความเร็วสูงของ บางกอกกล๊าส นั้น ต้องคอยดูวันจริงว่า เราจะมีแผนอย่างไรบ้าง แต่เราก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องคว้าแชมป์เท่านั้น”
ขณะที่ “เสี่ยเหน่ง” ศุภสิน ลีลาฤทธิ์ รองประธานสโมสร บางกอกกล๊าส เอฟซี นั้นพกความมั่นใจมาเต็มที่ “ตอนนี้ความพร้อมของทีมถือว่าเต็มที่ โดยเฉพาะความฟิตของนักเตะ จุดแข็งของนักเตะชุดนี้คือ เราไม่เปลี่ยนแปลงทีมมากนัก ตัวหลักๆ ก็คือชุดเก่าในฤดูกาลที่แล้ว มีเพิ่มเข้ามาแค่ในจุดที่ยังอ่อนอยู่เท่านั้น อีกทั้งตอนนี้ เลอันโดร โอลิเวียรา กองหน้าตัวใหม่ ที่เป็นตัวความหวังของเรา ถึงแม้ว่าจะเพิ่งหายเจ็บมา และคงไม่สามารถลงเต็ม 90 นาทีได้ แต่เชื่อว่าด้วยประสิทธิภาพและประสบการณ์ของเขา”
“สำหรับแผนนัดนี้ เชื่อว่าหาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ใช้แผนเดิมอย่าง 3-5-2 ซึ่งเราน่าจะรับมือได้ เนื่องจาก เรามีทั้ง ดาร์โก ทาร์เชฟสกี ที่สามารถจ่ายบอลทะลุช่องได้ดี ประสานงานกับ ลาซารัส คาอิมบี ปีกที่มีความเร็วเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม จะประมาทไม่ได้ เนื่องจากคู่ต่อสู้มีดีกรีเป็นถึงแชมป์เก่า” ผู้บริหารทีมดังกล่าว
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *