คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน ราชวังสัน
ผมไม่เชื่อหรอกว่า ในรอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 ที่ มาเลเซีย บุกไปเอาชนะ เวียตนาม ถึงกรุงฮานอย 4-2 จนทำให้ได้ผ่านเข้ามาชิงชนะเลิศฟุตบอล เอเอ๊ฟเอ๊ฟ แชมเปี้ยนส์ชิพ 2014 กับ ไทย นั้น มันใสสะอาด เพราะชาตินี้มีชื่อระดับโลกทีเดียวเรื่องการจ้างล้มบอล
หากจะหาเหตุผลมาสนับสนุนว่า มาเลเซีย มีฝีเท้าร้ายกาจจริงๆ ทีมชาติชุดนี้ก็อุดมไปด้วยนักเตะมากประสบการณ์ แต่ละคนก็หน้าเดิมๆ จากเมื่อ 2 ปีก่อน คงเหลือพื้นที่ให้นักเตะหน้าใหม่ซึ่งมีอายุต่ำกว่า 25 ปี เพียง 3 คนเท่านั้น แถมเมื่อตอนเจอกับ ไทย ในรอบแรกก็ได้แสดงศักยภาพให้เห็นด้วยการออกนำถึง 2 ครั้ง ก่อนที่จะมาเสียท่าในช่วงท้ายเกม แพ้ ไทย ไปในที่สุด 2-3
ในรอบรองชนะเลิศ นัดแรก ที่ มาเลเซีย เปิด ชะห์ อาลัม สเตเดี้ยม (Shah Alam Stadium) ต้อนรับ เวียตนาม และต้องเสียศูนย์แพ้คาบ้านตนเองไป 1-2 นั้น ก็เพราะ เสือเหลือง ต้องขาดกำลังสำคัญไปถึง 2 ตัว คือ โมฮัมเหม็ด อัมรี ยอหเยาะห์ (Mohd Amri Yahyah) กองหน้าที่ยิงประตูแรกในเกมพบกับ ไทย และ ชูกอร์ อาดัน (Shukor Adan) กัปตันทีม วัย 35 ปี ตัวนี้เล่นได้ดีทั้ง มิดฟีลด์ตัวรับ และ เซ็นเท่อร์ แบ็ค ซึ่งความจริงห่างหายจากสีเสื้อทีมชาติไปนาน มาคราวนี้ ดอลเลาะห์ ซัลเละห์ (Dollah Salleh) เฮ้ดโค้ชไปดึงตัวกลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง และมอบตำแหน่งกัปตันทีมให้ด้วย กล่าวกันว่าหมอนี่คือสุดยอดมิดฟีลด์คนหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลของ มาเลเซีย เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม จากความได้เปรียบที่ เวียตนาม มีตุนไว้ในนัดแรกทำให้ยากที่จะมีใครคาดคิดว่า นัดที่ 2 ที่สนามของตนเองแท้ๆ ประกอบกับทีมชาติของเขาเองก็ไร้มาตรฐานเสียที่ไหน แล้วทำไมผลการแข่งขันมันจึงออกมาเละเทะเช่นนั้น ช่างสวนทางจากสิ่งที่ควรจะเป็นอย่างช็อคสายตาทุกคน และกลับกลายเป็น มาเลเซีย ที่ดันได้สิทธิ์เข้าชิงชนะเลิศ แม้แต่ เกษม จริยวัฒนวงศ์ ผู้จัดการทีมชาติ ทันทีที่ ไทย ได้เข้าชิงชนะเลิศ โดยไม่ต้องรอผลนัดที่ 2 ของอีกคู่ แกก็รีบดำเนินการเรื่องตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และเอกสารต่างๆ เพื่อเตรียมให้พร้อมมุ่งสู่ เวียตนาม สำหรับรอบชิงชนะเลิศ นัดที่ 2 อันนี้ผมว่าแกคงคิดเหมือนกับคนทั่วโลกนั่นแหละ ดังนั้น เรื่องการล้มบอลนี้ ผมจึงจำเป็นต้องเผื่อใจไปคิดในแง่ไม่ดีที่เคยเกิดขึ้นจากฝีมือบงการนอกสนามของเซียนเสือเหลืองอยู่บ่อยๆ
กลับมาในมิติของการต่อสู้ด้วยฝีมือในสนามกันบ้าง ในส่วนของทีมไทยเราเอง ผมไม่มีห่วงใดๆ และเชื่อว่าจากการลงเตะ 5 นัด ตั้งแต่รอบแรกมาจนจบรอบรองชนะเลิศ ทั้งในสนามของทีมคู่แข่งและในสนามของเราเอง คนไทยทั้งชาติ และ ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เฮ้ดโค้ช คงจะมีความเห็นในทางเดียวกัน และก็รู้ซึ้งแล้วว่า กองหลัง 4-5 ตัวไหนที่ต้องเป็นตัวหลักคอยสกัดกั้นการเจาะทะลวงของ เสือเหลือง ได้อย่างเด็ดขาด จะใช้กองกลางตัวใดสร้างสรรค์เกม และใช้กองหน้าตัวไหนเป็นตัวรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการได้ อดิศักดิ์ ไกรษร กลับมาจะสร้างปัญหาให้ทีมคู่แข่งต้องพะวงตลอดเกม เรื่องโค้ชชิ่ง ผมมั่นใจว่า ซิโก้ ของเราเหนือกว่า ดอลเลาะห์ ครับ
ในขณะที่นักเตะมาเลเซีย นอกจาก 2 ตัวที่กล่าวมาแล้ว เรายังต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษอีก 2 ตัวคือ โมฮัมเหม็ด ซาฟิก ราฮิม (Mohd Safiq Rahim) มิดฟีลด์ตัวรุก อดีตกัปตันทีมร่างเล็ก วัย 27 ปี ที่เป็นคนยิงประตูที่ 2 ในเกมที่พบกับ ไทย ในรอบแรก และ อินทรา ปูตรา มาฮายุดดิน (Indra Putra Mahayuddin) กองหน้า วัย 33 ปี นี่ก็หลุดทีมชาติไปนาน หมอนี่เล่นได้ดีทั้งในตำแหน่งกองหน้า เล่นปีกก็ดี
ฟุตบอลชิงชนะเลิศแบบ 2 เกม เหย้า-เยือน เกมแรกในบ้านเราเองก็ต้องทำประตูตุนไว้ยิ่งมากยิ่งดี และระมัดระวังการเสียประตู ส่วนเกมที่ 2 เราต้องกลับไปเล่นในถิ่นของเขาบ้าง ซึ่งนอกจากการที่ต้องเล่นเกมเหย้านัดแรกและเล่นเกมเยือนในนัดที่ 2 ถือเป็นความเสียเปรียบอยู่แล้ว เราอาจต้องต่อสู้กับความพิกลพิการหลากวิธี ไม่ว่าจะเป็นการยั่วยุต่างๆนานา อย่างที่เราเคยเจอกันมาแล้ว ยังอาจต้องเผชิญกับลูกไม้ที่เป็นผลพวงจากการจ้างล้มบอลอีกด้วย ดังนั้น วันนี้ร่วมเชียร์ทีมชาติไทยให้อยู่ในขอบเขต อย่าสร้างเงื่อนไขใดให้ต้องโทษทัณฑ์ เชียร์ให้นักเตะไทยสู้เข้าด้วยฝีมือ อดทนต่อการยั่วยุ เพื่อเป็นต้นทุนในการเผชิญวิบากกรรมในนัดที่ 2 ครับ
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
ผมไม่เชื่อหรอกว่า ในรอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 ที่ มาเลเซีย บุกไปเอาชนะ เวียตนาม ถึงกรุงฮานอย 4-2 จนทำให้ได้ผ่านเข้ามาชิงชนะเลิศฟุตบอล เอเอ๊ฟเอ๊ฟ แชมเปี้ยนส์ชิพ 2014 กับ ไทย นั้น มันใสสะอาด เพราะชาตินี้มีชื่อระดับโลกทีเดียวเรื่องการจ้างล้มบอล
หากจะหาเหตุผลมาสนับสนุนว่า มาเลเซีย มีฝีเท้าร้ายกาจจริงๆ ทีมชาติชุดนี้ก็อุดมไปด้วยนักเตะมากประสบการณ์ แต่ละคนก็หน้าเดิมๆ จากเมื่อ 2 ปีก่อน คงเหลือพื้นที่ให้นักเตะหน้าใหม่ซึ่งมีอายุต่ำกว่า 25 ปี เพียง 3 คนเท่านั้น แถมเมื่อตอนเจอกับ ไทย ในรอบแรกก็ได้แสดงศักยภาพให้เห็นด้วยการออกนำถึง 2 ครั้ง ก่อนที่จะมาเสียท่าในช่วงท้ายเกม แพ้ ไทย ไปในที่สุด 2-3
ในรอบรองชนะเลิศ นัดแรก ที่ มาเลเซีย เปิด ชะห์ อาลัม สเตเดี้ยม (Shah Alam Stadium) ต้อนรับ เวียตนาม และต้องเสียศูนย์แพ้คาบ้านตนเองไป 1-2 นั้น ก็เพราะ เสือเหลือง ต้องขาดกำลังสำคัญไปถึง 2 ตัว คือ โมฮัมเหม็ด อัมรี ยอหเยาะห์ (Mohd Amri Yahyah) กองหน้าที่ยิงประตูแรกในเกมพบกับ ไทย และ ชูกอร์ อาดัน (Shukor Adan) กัปตันทีม วัย 35 ปี ตัวนี้เล่นได้ดีทั้ง มิดฟีลด์ตัวรับ และ เซ็นเท่อร์ แบ็ค ซึ่งความจริงห่างหายจากสีเสื้อทีมชาติไปนาน มาคราวนี้ ดอลเลาะห์ ซัลเละห์ (Dollah Salleh) เฮ้ดโค้ชไปดึงตัวกลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง และมอบตำแหน่งกัปตันทีมให้ด้วย กล่าวกันว่าหมอนี่คือสุดยอดมิดฟีลด์คนหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลของ มาเลเซีย เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม จากความได้เปรียบที่ เวียตนาม มีตุนไว้ในนัดแรกทำให้ยากที่จะมีใครคาดคิดว่า นัดที่ 2 ที่สนามของตนเองแท้ๆ ประกอบกับทีมชาติของเขาเองก็ไร้มาตรฐานเสียที่ไหน แล้วทำไมผลการแข่งขันมันจึงออกมาเละเทะเช่นนั้น ช่างสวนทางจากสิ่งที่ควรจะเป็นอย่างช็อคสายตาทุกคน และกลับกลายเป็น มาเลเซีย ที่ดันได้สิทธิ์เข้าชิงชนะเลิศ แม้แต่ เกษม จริยวัฒนวงศ์ ผู้จัดการทีมชาติ ทันทีที่ ไทย ได้เข้าชิงชนะเลิศ โดยไม่ต้องรอผลนัดที่ 2 ของอีกคู่ แกก็รีบดำเนินการเรื่องตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และเอกสารต่างๆ เพื่อเตรียมให้พร้อมมุ่งสู่ เวียตนาม สำหรับรอบชิงชนะเลิศ นัดที่ 2 อันนี้ผมว่าแกคงคิดเหมือนกับคนทั่วโลกนั่นแหละ ดังนั้น เรื่องการล้มบอลนี้ ผมจึงจำเป็นต้องเผื่อใจไปคิดในแง่ไม่ดีที่เคยเกิดขึ้นจากฝีมือบงการนอกสนามของเซียนเสือเหลืองอยู่บ่อยๆ
กลับมาในมิติของการต่อสู้ด้วยฝีมือในสนามกันบ้าง ในส่วนของทีมไทยเราเอง ผมไม่มีห่วงใดๆ และเชื่อว่าจากการลงเตะ 5 นัด ตั้งแต่รอบแรกมาจนจบรอบรองชนะเลิศ ทั้งในสนามของทีมคู่แข่งและในสนามของเราเอง คนไทยทั้งชาติ และ ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เฮ้ดโค้ช คงจะมีความเห็นในทางเดียวกัน และก็รู้ซึ้งแล้วว่า กองหลัง 4-5 ตัวไหนที่ต้องเป็นตัวหลักคอยสกัดกั้นการเจาะทะลวงของ เสือเหลือง ได้อย่างเด็ดขาด จะใช้กองกลางตัวใดสร้างสรรค์เกม และใช้กองหน้าตัวไหนเป็นตัวรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการได้ อดิศักดิ์ ไกรษร กลับมาจะสร้างปัญหาให้ทีมคู่แข่งต้องพะวงตลอดเกม เรื่องโค้ชชิ่ง ผมมั่นใจว่า ซิโก้ ของเราเหนือกว่า ดอลเลาะห์ ครับ
ในขณะที่นักเตะมาเลเซีย นอกจาก 2 ตัวที่กล่าวมาแล้ว เรายังต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษอีก 2 ตัวคือ โมฮัมเหม็ด ซาฟิก ราฮิม (Mohd Safiq Rahim) มิดฟีลด์ตัวรุก อดีตกัปตันทีมร่างเล็ก วัย 27 ปี ที่เป็นคนยิงประตูที่ 2 ในเกมที่พบกับ ไทย ในรอบแรก และ อินทรา ปูตรา มาฮายุดดิน (Indra Putra Mahayuddin) กองหน้า วัย 33 ปี นี่ก็หลุดทีมชาติไปนาน หมอนี่เล่นได้ดีทั้งในตำแหน่งกองหน้า เล่นปีกก็ดี
ฟุตบอลชิงชนะเลิศแบบ 2 เกม เหย้า-เยือน เกมแรกในบ้านเราเองก็ต้องทำประตูตุนไว้ยิ่งมากยิ่งดี และระมัดระวังการเสียประตู ส่วนเกมที่ 2 เราต้องกลับไปเล่นในถิ่นของเขาบ้าง ซึ่งนอกจากการที่ต้องเล่นเกมเหย้านัดแรกและเล่นเกมเยือนในนัดที่ 2 ถือเป็นความเสียเปรียบอยู่แล้ว เราอาจต้องต่อสู้กับความพิกลพิการหลากวิธี ไม่ว่าจะเป็นการยั่วยุต่างๆนานา อย่างที่เราเคยเจอกันมาแล้ว ยังอาจต้องเผชิญกับลูกไม้ที่เป็นผลพวงจากการจ้างล้มบอลอีกด้วย ดังนั้น วันนี้ร่วมเชียร์ทีมชาติไทยให้อยู่ในขอบเขต อย่าสร้างเงื่อนไขใดให้ต้องโทษทัณฑ์ เชียร์ให้นักเตะไทยสู้เข้าด้วยฝีมือ อดทนต่อการยั่วยุ เพื่อเป็นต้นทุนในการเผชิญวิบากกรรมในนัดที่ 2 ครับ
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *