เอเยนซี - ในที่สุด เมอร์เซเดส จีพี ทีมซิ่งสัญชาติเยอรมันแห่งวงการรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก ก็สามารถผงาดคว้าแชมป์โลกประเภททีมผู้สร้างได้เป็นสมัยแรกจนได้นับตั้งแต่ส่งทีมเข้าร่วมประลองความเร็วครั้งแรกปี 1954 จากผลงานอันยอดเยี่ยมของสองนักแข่งอย่าง ลูอิส แฮมิลตัน กับ นิโค รอสเบิร์ก สองคู่หูชาวอังกฤษและเยอรมัน โดยเฉพาะฝ่ายแรกได้โทรฟีแชมป์โลกเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิต หลังวิ่งเข้าป้ายคว้าชัยเรซสุดท้าย อาบู ดาบี กรังด์ ปรีซ์ วันที่ 23 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
แฮมิลตัน ควบรถ W05 ออกตัวจากกริดที่ 2 แซง รอสเบิร์ก เจ้าของ โพล โพซิชัน ที่ ยาส มารินา เซอร์กิต ก่อนวิ่งรับธงตราหมากรุกไปแบบม้วนเดียวจบ ส่งผลทำให้นักซิ่งเลือดผู้ดี เจ้าของสถิติแชมป์ 11 สนามในปี 2014 จบด้วยตำแหน่งแชมป์โลกสมัย 2 มี 384 แต้ม แบบทิ้งห่างขาดลอยเพราะมีกฏเบิ้ลแต้มสนามสุดท้ายเข้ามาช่วยอีกแรง ขณะที่เพื่อนคู่หูรถมีปัญหาวิ่งเข้าอันดับ 14 แต่ก็ยังได้จบฤดูกาลด้วยตำแหน่งดีที่สุดในชีวิตคือรองแชมป์ 317 แต้ม กอดคอฉลองกันไป
นอกจากนี้ ผลงานของทั้งคู่ยังช่วยทำให้ต้นสังกัดอย่าง เมอร์เซเดส ปลดล็อกแชมป์โลกประเภททีมผู้สร้างสมัยแรก โกยไป 701 แต้ม ทิ้งห่าง เรด บูลล์ แชมป์เก่า 4 สมัยซ้อนแบบไม่เห็นฝุ่น เรียกว่าปิดฉากปี 2014 ได้อย่างน่าประทับใจ แม้จะทำคนดูกร่อยๆเพราะเห็นชัดเจนว่ามีม้าเต็งแย่งแชมป์โลกกันอยู่แค่ 2 คน ผลัดกันขึ้นโพเดียมอันดับ 1 เป็นว่าเล่น ชนิดที่ เซบาสเตียน เวทเทล แชมป์โลก 4 ปีซ้อนจากฝั่งกระทิงแดง ซึ่งจบอีนดับ 6 ในปีนี้ได้แต่มองตาปริบๆ
เครดิตสำคัญที่ต้องยกให้หนีไม่พ้นทีมงานของ เมอร์เซเดส ทุกคน ที่รับมือกับกฎการแข่งขันใหม่ที่เปลี่ยนจากเครื่องยนต์ V8 ซึ่งถูกลดสเปกลงมาให้เหลือแค่เครื่อง V6 ได้เร็วกว่าทีมอื่นเพราะมีการทดสอบเครื่องล่วงหน้าตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 2013 จนหาจุดที่ลงตัวเข้ากับระบบได้ก่อนทีมอื่น บวกกับฝีมือนักแข่งประจำทีมที่ชื่อชั้นและความสามารถไว้ใจได้อยู่แล้ว แม้มีปัญหากระทบกระทั่งกันในสนามให้ โตโต โวล์ฟฟ บอสใหญ่ต้องปวดหัวอยู่บ้างแต่ก็ผ่านไปด้วยดี
ขณะที่ แฮมิลตัน วัย 29 ปี ที่สลัดชายคา แม็คลาเรน ต้นสังกัดผู้ปลุกปั้นให้เป็นแชมป์โลกสมัยแรก ปี 2008 นอกเหนือจากแชมป์สมัย 2 ก็เตรียมตัวรับสัญญาฉบับใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 100 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5,200 ล้านบาท) เช่นเดียวกับ รอสเบิร์ก ที่ต่อสัญญาใหม่ไปแล้วล่วงหน้า กลายเป็นเครื่องยืนยันว่าไลน์อัพสำหรับปี 2015 จะยังเป็นคู่หูชุดเดิมเพื่อช่วยกันพา เมอร์เซเดส ผงาดขึ้นเป็นทีมหัวแถวของวงการรถสูตรหนึ่งแบบถาวร
เสร็จสิ้นงานฉลอง เมอร์เซเดส มีคิวกลับมารายงานตัวบนแทร็คอีกครั้งเพื่อทดสอบรถครั้งสุดท้าย วันที่ 26 พฤศจิกายน ก่อนจะแยกย้ายไปชาร์จแบตเตอรีให้เต็มสำหรับกลับมาลุยต่อปีหน้า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทีมงานของค่ายดาว 3 แฉก ต้องคิดไปด้วยคือหาทางรับมือกับอุปสรรคที่คาดเดาไม่ได้ โดยเฉพาะกระแสข่าวหนาหูว่า เบอร์นี เอ็คเคิลสโตน ผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ของวงการชาวอังกฤษ เตรียมหารือกับ เอฟไอเอ เพื่อเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์หลักอีกครั้ง
มีความเป็นไปได้ที่ เบอร์นี จะออกกฎให้ทุกทีมกลับไปใช้เครื่องยนต์ตัวเดิมอย่าง V8 อีกครั้ง หลังเห็นชัดเจนว่า เมอร์เซเดส ทำเครื่องยนต์ V6 ได้เปรียบกว่าทุกทีมจนทำให้คู่แข่งโดนทิ้งห่างตั้งแต่ยังถึงครึ่งฤดูกาล แน่นอนว่าก็เพื่อลดช่องว่างให้ทีมอื่นพัฒนาเครื่องยนต์ขึ้นมาได้อย่างเท่าเทียม ขณะเรื่องของเสียงที่ไม่กระหึ่มเร้าใจเหมือนแต่ก่อนจนแฟนๆ รุมสวดทุกช่องทาง ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ชวนให้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยกัน
นิกี เลาดา หนึ่งในผู้บริหารสูงสุดของ “ซิลเวอร์ แอร์โรว์ส” คือหนึ่งคนที่คัดค้านเรื่องนี้ เพราะเจ้าพ่อเอฟวัน เปลี่ยนกฎจุกจิกเอาแน่เอานอนไม่ได้ทุกปี โดยถึงกับขู่ถอดทีมออกไปเลยหากกลับไปใช้เครื่อง V8 อีก วิเคราะห์ดูว่าหากเกิดขึ้นจริง เมอร์เซเดส เสียเปรียบแน่นอนแบบไม่ต้องสืบเพราะหากย้อนประวัติกลับไปดูผลงานเครื่องตัวนี้เมื่อปีก่อนๆ แทบไม่มีสนามใดที่เรียกว่าประสบความสำเร็จ อย่าว่าแต่ขึ้นโพเดียม แค่แย่งกริดสตาร์ทอันดับแรกกับทีมอื่นยังเลือดตาแทบกระเด็น
ทว่า หากยังใช้เครื่อง V6 ตัวเดิม เมอร์เซเดส ก็นิ่งนอนใจไม่ได้เหมือนกันเพราะปี 2015 จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่ ฮอนด้า ที่จะกลับมาสู่วงการในฐานะผู้สนับสนุนเครื่องยนต์ชุดใหม่ของ แม็คลาเรน อดีตยักษ์หลับ ซึ่งน่าจะได้ตัว เฟร์นานโด อลอนโซ แชมป์โลก 2 สมัย มาเป็นนักขับเบอร์ 1 อีกครั้ง รวมถึง เซบาสเตียน เวทเทล นักซิ่งแชมป์ 4 สมัย ที่โยกไปขับให้ เฟอร์รารี เพื่อทวงบัลลังก์แชมป์กลับมา เรียกว่าโจทย์เก่ารอคิดบัญชีอยู่เพียบ ดังนั้น เมอร์เซเดส ต้องเตรียมตัวให้ดีสำหรับความท้าทายที่รออยู่ พร้อมพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าแชมป์โลกสองประเภทที่คว้าได้ มาจากฝีมือไม่ใช่เพราะฟลุกหรือโชคช่วย
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
