xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจรับ “เอเยนต์” แข้งไทยลีกสู่สากล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“เซฟ”  ปรมัตถ์ อินจำปา
ASTVผู้จัดการรายวัน – ศึกฟุตบอล โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีค่าเฉลี่ยแฟนลูกหนังเข้าสนามเฉลี่ยนัดละมากกว่า 5,000 คน ส่งผลให้เงินสะพัดแมตช์ละไม่ต่ำกว่า 650,000 บาท ทำให้อาชีพพ่อค้าแข้งสมัยนี้สามารถหาเลี้ยงตัวเองรวมถึงมีเหลือไปจุนเจือครอบครัว แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่พัฒนาตามสากลก็คือเรื่องของ “เอเยนต์” ซึ่งปัจจุบันในไทยลีกยังไม่เป็นที่รู้จักและยอมรับมากนัก ทว่าด้วยประโยชน์ที่มีมากกว่าผลเสีย แม้ต้องเจรจาเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ไม่เข้าใครออกใครกับสโมสร อย่างไรก็ตามถึงเวลาจำเป็นที่จะต้องเปิดใจรับแล้ว

ปัจจุบันมีเอเยนต์นักฟุตบอลสัญชาติไทย ที่ได้รับการรับรองจาก สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟา) ทั้งหมด 14 ราย ส่วนใหญ่ก็จะสังกัดบริษัทเอเยนต์นักฟุตบอลต่างๆ ทาง MGR SPORT ได้โอกาสไปพูดคุยกับ “เซฟ” ปรมัตถ์ อินจำปา ตัวแทนของ บริษัท ไทย ฟุตบอล เอเจนต์ จำกัด (ทีเอฟเอ) ที่กำลังจะมีนักฟุตบอลสัญชาติไทยแท้ คนแรกของลีกเซนต์สัญญาเข้ามาอยู่ในสังกัด

ตัวแทนของ "ทีเอฟเอ" ได้เกริ่นนำถึงหน้าที่เอเยนต์ก่อนว่า "เอเจนต์ต้องเป็นผู้ดูแล ผู้จัดการนักเตะทั้งหมด ตั้งแต่ดูแลเรื่องสัญญา รวมไปถึงสวมบททนายความ นักบัญชีส่วนตัว หรือแม้กระทั่งเป็นฝ่ายการตลาดให้กับของนักเตะด้วย เรียกได้ว่าดูแลชีวิตนอกสนามของนักฟุตบอลทุกอย่าง ในด้านที่เขาอาจจะขาดความรู้ ยกตัวอย่าง เช่น เรื่องภาษี นักฟุตบอลคนหนึ่งอาจจะต้องจ่ายจะโดนเรียกเก็บภาษีปีละหลายหมื่นบาท แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากเนื่องจากเงินเดือนที่เกินภาษีไปเยอะ แต่ถ้ามีนายหน้าทำการแทนตรงนี้เราก็จะช่วยดูแลเรื่องการลดภาษีให้ได้ "

"หรือการหารายได้เสริมของนักฟุตบอล นอกจากจะมาจากค่าเหนื่อยของสโมสรแล้ว เราก็ต้องมีหน้าที่เพิ่มรายได้ในกระเป๋าให้เขา เช่นกันหาสปอนเซอร์ ในการเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าให้กับนักฟุตบอล ซึ่งก็ถือว่านอกจากเขาจะเพิ่มมูลค่าของตนเองในสนาม จากฝีเท้า มูลค่านอกสนามเราต้องมีหน้าที่ที่ต้องทำให้เขาเช่นกัน " ปรมัตถ์ เผย

ส่วนวิธีการหานักเตะให้มาอยู่ในความดูแลของเอเยนต์นั้นมีสองแบบ "วิธีแรกคือการที่เราเซนต์สัญญากับนักเตะโดยตรง ถือว่านักบอลเป็นของเรา วิธีที่สองคือเซ็นสัญญาให้เราเป็นตัวแทนเจรจา เช่นนักบอลออสเตรเลีย รายหนึ่ง มีนายอเล็กซ์เป็นเอเยนต์ เราบอกไปว่าจะหาทีมไปให้ อเล็กซ์ก็ต้องส่งหนังสือมอบอำนาจมาให้เราเป็นตัวแทนเจรจาสัญญา ซึ่งเวลาเราไปคุยกับสโมสร ต้องมีคำสั่งไปยื่นว่าเราได้สิทธิมาเจรจาให้นักบอลคนนี้ ของเอเยนต์คนนี้ถูกต้อง ส่วนเรื่องเปอร์เซนต์จะอยู่ในสัญญาอยู่แล้วว่าแบ่งกันอย่างไร"

ส่วนคำถามที่หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วรายได้ของ ผู้จัดการส่วนตัว มาจากไหน จะไปสูบเลือดสูบเนื้อของนักฟุตบอลหรือไม่ เนื่องจากความคิดที่ยังติดอยู่ของคำว่า "นายหน้า" คือการหักเปอร์เซนต์ ปรมัตถ์ กล่าวว่า "รายได้หลักของเอเยนต์นั้น คือมาจากสโมสรที่นักเตะสังกัดอยู่ หมายความว่าหากนักเตะเซ็นสัญญา เราก็จะได้ค่า นายหน้า ตามที่ตกลงกับสโมสร ซึ่งตรงนี้จะไม่กำหนดว่าเป็นกี่เปอร์เซนต์จากค่าตัว อยู่ที่ความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย และไม่มีสิทธิไปหักเปอร์เซนต์จากค่าเหนื่อยของนักเตะเด็ดขาด "

พร้อมกล่าวถึงข้อดีของนักฟุตบอลที่มี ผู้จัดการส่วนตัว ว่า "ยกตัวอย่างหากมีนักฟุตบอลไทยคนหนึ่ง กำลังจะหมดสัญญากับสโมสร ทางทีมเรียกเข้าไปต่อสัญญา ซึ่งต้องเข้าใจว่า ประเทศไทย ยังเป็นระบบอุปถัมป์ หากผู้บริหารยื่นมาว่าจะให้ค่าเหนื่อยเท่านี้ แต่คุณไม่พอใจ ก็ไม่สามารถบอกได้ ก็ต้องตกลงกันไป ซึ่งมันเสียประโยชน์ แต่ถ้ามีเอเยนต์ส่วนตัว นักบอลทำหน้าที่ซ้อมบอลไป เรื่องสัญญาเป็นหน้าที่ของเรา ถ้าหากเราคิดว่าประสิทธิภาพของเขามีมากกว่าเงินเดือนที่ได้รับ ก็อาจจะขอต่อรองเพิ่มค่าเหนื่อย ทางสโมสรไม่โอเค ไม่เป็นไร เราหาทางเลือกที่ดีกว่าให้นักบอลได้ "

ปรมัตถ์ กล่าวว่า "ที่ผ่านมาเรามีนักฟุตบอลอยู่คนหนึ่ง สัญชาติออสเตรเลีย ตอนแรกมาเสนอให้กับ แบงค็อก ยูไนเต็ด ในสมัยที่มี "โค้ชเตี้ย" สะสม พบประเสริฐ คุมทีมอยู่ แต่เขาไม่สนใจ เราก็โอเคไม่เป็นไร ไปเสนอให้กับ เชจู ยูไนเต็ด ใน เจ-ลีก และก็ได้ย้ายไปในที่สุด ซึ่งการหานักฟุตบอลมาเข้าสังกัดเราต้องดูแล้วว่า เขาจะสามารถมีศักยภาพเล่นได้ดีแค่ไหน ถ้าเกิดเรียกว่าเป็นการหาสินค้ามาขาย เราจะไม่เอาของไม่มีคุณภาพมาให้ลูกค้าเด็ดขาด"

ด้าน มาร์ค ฮิลหลาด เอเยนต์ระดับ ฟีฟา ไลเซนต์ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ "ทีเอฟเอ" ได้ยกตัวอย่างให้เราฟังว่า กรณีการย้ายทีมของ "มุ้ย" ธีรศิลป์ แดงดา กองหน้าทีมชาติไทยของ เอสซีจี เมืองทองฯ ยูไนเต็ด ที่ถูกยืมตัวไป ถือเป็นดีลที่ผิดพลาด "ธีรศิลป์ แดงดา ถือว่าเป็นการย้ายทีมที่ผิด ถ้าตนเป็น ผู้จัดการส่วนตัวของเขาจะไม่ยอมให้ย้ายไป อัลเมเรีย แน่นอน เนื่องจากลีกสเปนกับลีกประเทศไทยต่างกันเกินไป เราต้องดูแล้วว่าเขาเหมาะสมกับลีกไหนหากไปอยู่ในต่างประเทศ ตามความคิดผมแล้ว มุ้ย น่าจะไปเล่นใน เจ-ลีก ของญี่ปุ่นมากกว่า รวมไปถึง ลีกยุโรปอย่าง ฮอลแลนด์ ก็ยังเหมาะสมกับสไตล์การเล่นของเขา "

ทั้งนี้ ฮิลหลาด ได้มองอนาคตของวงการ เอเยนต์นักฟุตบอลในเมืองไทยว่า "ผมมองว่ายังเติบโตได้อีกเยอะ เพราะตอนนี้ต้องยอมรับว่า นักฟุตบอลไทยยังไม่เข้าใจระบบ เอเยนต์ มากเท่าที่ควร ถ้าหากเขาทราบถึงข้อดีของการมีตัวแทน เจรจาสิ่งต่างๆ เพื่อไม่ให้ใครมาเอาเปรียบได้อีก รวมไปถึงเป็นบันไดที่จะทำให้แข้งไทยก้าวข้ามไปเล่นยัง ลีกต่างประเทศ ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเอเยนต์ทุกคน มีสัมพันธ์กับหลายสโมสรอยู่แล้ว หากว่าเขาสนใจนักบอลในสังกัดเราการเจรจาก็เกิดขึ้นได้ง่าย"

* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *


แสดงมุมมองเกี่ยวกับกรณี “มุ้ย”
ไทยลีกกำลังรุ่งเรือง
กำลังโหลดความคิดเห็น