สมาชิก 52 เสียงเทใจให้ ภัคพงษ์ เกรียงศักดิ์ นั่งเก้าอี้นายกเพาะกายและฟิตเนสสมัยที่ 7 ติดต่อกัน หลังผลงานเข้าตาทะลุเป้าไร้ข้อกังขา ระบุเร่งพัฒนาให้นักเพาะกายไทยเป็นเบอร์ 1 ในอาเซียนให้สำเร็จ
นายภัคพงษ์ เกรียงศักดิ์ นายกสมาคมเพาะกายแห่งประเทศไทย เป็นประธานการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2556 เมื่อวันที่ 17 พ.ค. ที่ผ่านมา ที่โรงแรมเดอะทวินทาวเวอร์ โดยมีวาระสำคัญ คือ การเลือกตั้งนายกสมาคมคนใหม่ หลังคณะกรรมการบริหารชุดเดิมได้บริหารงานมาจนครบวาระ 2 ปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีสมาชิกสโมสรที่มีสิทธิ์ออกเสียงได้ทั้งหมด 52 เสียง จากทั้งหมด 63 เสียง ร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน
ที่ประชุมได้สรุปผลงานในช่วงรอบปีที่ผ่านมา ทั้งการแข่งขันในประเทศและต่างประเทศ รวมไปถึงการเปิดอบรมผู้ตัดสินและผู้ฝึกสอนให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นกระจายไปทั่วทุกภูมิภาค เพื่อรองรับจำนวนประชากรในกีฬาชนิดนี้เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน ความสำเร็จของจอมพลังเบ่งกล้ามทีมชาติไทยทั้งชาย-หญิง หลังคว้ามาได้ 7 เหรียญทอง 4 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง จากทั้งหมด 10 คนที่ส่งไปร่วมศึกเพาะกายและฟิตเนสชิงแชมป์โลก 2013 ที่ประเทศฮังการี ส่งผลให้สมาคมติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลกได้อย่างน่าภาคภูมิใจ พร้อมกันนี้ สมาคมได้เปิดเผยรายชื่อนักกีฬาทั้งหมด 34 คน ที่จะเดินทางไปทำศึกใหญ่ 4 รายการในปีนี้ คือ เพาะกายชิงแชมป์อาเซียน ครั้งที่ 12 ช่วงวันที่ 13-16 มิ.ย. ที่สิงคโปร์, เพาะกายและฟิตเนสชิงแชมป์เอเชีย 2014 ครั้งที่ 48 ช่วงวันที่ 26 ส.ค.-1 ก.ย. ที่มาเก๊า, เพาะกายชิงแชมป์โลก 2014 ช่วงวันที่ 24-30 พ.ย. ที่อินเดีย และ เอเชี่ยนบีชเกมส์ 2014 ครั้งที่ 4 ช่วงวันที่ 17-23 พ.ย. ที่ จ.ภูเก็ต พร้อมตั้งความหวังเอาไว้ว่า ทุกรายการต้องคว้าเหรียญทองกลับมาให้มากที่สุด ขณะที่งบดุลสมาคมสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค. 56 สมาคมมีรายรับ 13,539,492 บาท รายจ่าย 11,153,011 บาท สรุปสมาคมมีเงินเหลือในบัญชี 2,386,480 บาท พร้อมแต่งตั้งให้ น.ส.รัตนา ตันกิม เป็นผู้ตรวจสอบบัญชีอีกครั้ง
จากนั้นเข้าสู่วาระสำคัญ คือ การเลือกตั้งนายกสมาคมคนใหม่ ที่ประชุมได้เสนอชื่อให้ นายสาลี่ สว่างสุข อุปนายกสมาคม เป็นประธานการเลือกตั้งชั่วคราว และขอมติจากที่ประชุมให้สมาชิกสโมสรเสนอชื่อตัวนายกสมาคมเพียงคนเดียวขึ้นมา และไปเลือกคณะกรรมการบริหารอีก 17 คนหลังจากนั้น ก่อนที่ นายสันติ จักกรี สมาชิกสโมสรค่ายนนทบุรียิมส์ จะยกมือเสนอชื่อ นายภัคพงษ์ เป็นนายกสมาคม โดยสมาชิกทั้งหมด 52 เสียงไม่มีใครคัดค้าน ส่งผลให้ นายภัคพงษ์ วัย 83 ปี ได้เป็นนายกสมาคมต่อสมัยที่ 7 ติดต่อกัน เพื่อสานงานในหลายๆ ด้านให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยเฉพาะการผลักดันนักเพาะกายไทยให้เป็นเบอร์ 1 ของอาเซียนในเร็ววันนี้
ทั้งนี้ นายภัคพงษ์ เปิดเผยว่า ขอขอบคุณสมาชิกสโมสรทุกคนที่ให้ความไว้วางใจตัวเองทำหน้าที่ตำแหน่งนี้อีกครั้ง เพื่อพัฒนาศักยภาพนักเพาะกายไทยให้ยิ่งใหญ่ในเวทีระดับโลก หลังช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กีฬาชนิดนี้ได้รับการตอบสนองดีขึ้นมาก จากการทุ่มเทตั้งใจทำงานอย่างจริงจังของคณะกรรมการบริหาร ส่งผลให้เรามีตัวเลือกนักกีฬาทั้งชายและหญิงมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญในปีนี้สมาคมมีภารกิจใหญ่ถึง 4 รายการ ซึ่งทุกรายการเราจะต้องสร้างผลงานดีที่สุดด้วยการคว้าเหรียญทองกลับมา เนื่องจากนักกีฬาของเรามีความสามารถที่ดีอยู่แล้ว ส่วนตัวในฐานะนายกสมาคมเพียงแค่ให้การสนับสนุนด้านเงินงบประมาณ และวางแนวทางนโยบายเท่านั้นเอง โดยมี นายศุกรีย์ ศุภวรีกุล ทำหน้าที่เป็นเลขาธิการสมาคม คอยวางระบบบริหารจัดการที่ดีและสามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจน จนทำให้สมาคมได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานรัฐบาล เอกชน และพัฒนาดีขึ้นมากจนถึงทุกวันนี้