เอเยนซี - ศึก ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2013-14 ทวีความเข้มข้น เพราะกำลังจะเปิดฉากขับเคี่ยวรอบ 8 ทีมสุดท้ายตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้ โดยมีสโมสรที่เคยเป็นแชมป์มาแล้วถึง 6 ทีม ดังนั้นการเจอกันแต่ละคู่ล้วนมีไฮไลต์ให้จับตารวมถึงที่มาที่ไปให้พูดถึงมากมาย ดังต่อไปนี้
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (อังกฤษ) พบ บาเยิร์น มิวนิก (เยอรมนี)
หลังปาฏิหาริย์นัดชิงปี 1999 แมนฯยู ยิง 2 ประตูช่วงทดเจ็บแซงชนะ 2-1 คว้าแชมป์ไปครองที่สนาม คัมป์ นู จากนั้น บาเยิร์น ล้างแค้นด้วยการเขี่ยตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายฤดูกาล 2000-01 ด้วยการบุกชนะ 1-0 ก่อนจะย้ำชัย 2-1 แต่ที่สาสมสุดคือ 2009-10 รอบ 8 ทีมเช่นกัน “ผีแดง” บุกแพ้ 1-2 ก่อนจะกลับมาเปิด โอลด์ แทรฟฟอร์ด นำ 3-0 กำลังจะตบเท้าสู่ด่านต่อไปอยู่แล้ว ทว่าถูก อิวิกา โอลิช และ อาร์เยน ร็อบเบน ตีตื้นจนรวม 2 นัดเสมอ 4-4 “เสือใต้” ได้ตั๋วสถานีหน้าด้วยกฎอเวย์โกล ส่วนเกมนี้แชมป์ยุโรป 3 สมัยจากอังกฤษเป็นรองทุกกระบวนท่า ดังนั้นไฮไลต์ก็คือ เดวิด มอยส์ นายใหญ่ชาวสกอต มี “ซูเปอร์ซับ” อย่าง ฮาเวียร์ เฮร์นานเดซ หอกเม็กซิกัน ที่เพิ่งเปลี่ยนลงมาเกม พรีเมียร์ ลีก นัดล่าสุดที่เปิดบ้านถล่ม แอสตัน วิลลา 4-1 ก่อนจะซัดปิดกล่อง ดังนั้นเมื่อถึงยามคับขันจะกล้าใช้งานหรือเสี่ยงเหมือนครั้ง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คุมทัพหรือไม่ รวมถึง ชินจิ คากาวะ กองกลางทีมชาติญี่ปุ่น ที่สมัยเล่นให้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เคยเจอกับแชมป์ยุโรป 5 สมัยถึง 5 นัด โดยไม่เคยแพ้แม้แต่ครั้งเดียว แถมยิงได้นัดชิง เดเอฟเบ โพคาล ที่ชนะ 5-2 ฤดูกาล 2011-12 ด้วย
ปารีส แซงต์-แชร์กแมง (ฝรั่งเศส) พบ เชลซี (อังกฤษ)
ที่ผ่านมาทั้งคู่เคยเจอกันแค่ 2 ครั้ง ซึ่งก็เป็น มูรินโญ ที่คุมทัพ เชลซี ฤดูกาล 2004-05 หรือเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วเป็นรอบแบ่งกลุ่ม โดยบุกชนะ 3-0 ก่อนจะเล่นใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ เสมอ 0-0 ทว่าตอนนี้ เปแอสเช เปลี่ยนโฉมไปอย่างสิ้นเชิงด้วยเม็ดเงินของกลุ่มทุนกาตาร์ แถมกุนซือชาวโปรตุกีสยังจะได้เจออดีตลูกน้อง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ตอนกุมบังเหียน อินเตอร์ มิลาน และขายให้ บาร์เซโลนา เมื่อปี 2009 มี ซามูเอล เอโต กองหน้าทีมชาติแคเมอรูนเป็นข้อแลกเปลี่ยน ซึ่งดาวยิงชาวสวีดิชเคยชื่นชมเจ้านายเก่าผ่านหนังสืออัตชีวประวัติว่าเป็นคนที่พร้อมจะตายเพื่อประเทศโปรตุเกส คำถามก็คือ “เฮียมู” รู้พิษสงนักเตะที่เคยล่าตาข่ายให้กับ อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม, ยูเวนตุส และ เอซี มิลาน เป็นอย่างดี แม้จะวัย 32 ปีแต่ปีนี้ซัดใน ลีก เอิง ไปแล้ว 25 ประตู ดังนั้นจะใช้ความเก๋าของ จอห์น เทอร์รี หรือสดอย่าง แกรี เคฮิลล์ กับ ดาวิด ลุยซ์ ใครประกบก็เหนื่อยใจแทน นอกจากนี้ยังมี เอดินสัน คาวานี อีก ขณะเดียวกันนายใหญ่ที่เคยกุมบังเหียน รีล มาดริด อยากได้แชมป์ยุโรปสมัยที่ 3 กับ 3 ทีม ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นสโมสรที่มียูนิฟอร์มสีน้ำเงินทั้งสิ้นคือ ปอร์โต และ “งูใหญ่”
บาร์เซโลนา (สเปน) พบ แอตเลติโก มาดริด (สเปน)
ศึกสายเลือดจากสเปนคู่เดียวของรอบ 8 ทีม ดังนั้นสปอตไลท์อาจจะจับน้อยกว่าอีก 3 คู่ แต่ถือว่าสูสีกันมาก แม้ บาร์เซโลนา จะเหลื่อมกว่าเล็กน้อย แต่ฤดูกาลนี้ที่เจอกัน 3 นัดเอาชนะ แอต.มาดริด ไม่ได้เลย เริ่มจาก สแปนิช ซูเปอร์ คัพ ที่บุกเสมอ 1-1 ก่อนจะรวม 2 นัดสกอร์นี้ บาร์ซา ได้แชมป์ด้วยอเวย์โกล ตามด้วย ลา ลีกา ที่เจ๊า 0-0 ณ บิเซนเต กัลเดรอน ที่สำคัญลูกทีมของ ดิเอโก ซิเมโอเน ก็รั้งจ่าฝูงทิ้งอยู่ 1 แต้ม หลังผ่านพ้นไป 31 นัด โดย “ตราหมี” เป็นทีมเดียวในลีกที่ยังไม่แพ้ใครในรังเสียแค่ 9 ประตู นอกจากนี้ยังมี ดิเอโก กอสตา ดาวยิงทีมชาติ “กระทิงดุ” ที่ร้อนแรงไม่เลิกกดไปแล้ว 25 ประตู จะต้องห้ำหั่นกับ ลิโอเนล เมสซี ตัวรุกชาวอาร์เจนไตน์ ดูจากทรงบอลแล้วใครเข้าสู่รอบรองชนะเลิศก็ถือว่าไม่เซอร์ไพรส์ เพราะรู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี เนื่องจากอดีตแชมป์ยุโรป 4 สมัยที่ได้ถึง 3 สมัยจาก 8 ปีหลังสุด เล่นเป็นระบบเดียว แม้กุนซือจะเปลี่ยนเป็น เคราร์โด มาร์ติโน แต่ทุกอย่างเหมือนเดิม
รีล มาดริด (สเปน) พบ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (เยอรมนี)
คู่นี้คาดว่าสกอร์น่าจะออกมาถล่มทลาย เนื่องจากเป็นทีมที่มีปรัชญาเกมรุกทั้งคู่ ดอร์ทมุนด์ แม้ต้องมาเยือน แต่ เจอร์เกน คล็อปป์ นายใหญ่หนุ่มไฟแรงไม่มีกลัวศักดิ์ศรีแชมป์ยุโรปสูงสุด 9 สมัย แต่คำถามก็คือใครจะหยุด คริสเตียโน โรนัลโด แนวรุกฝีเท้าจัดของ รีล มาดริด ที่กดไปแล้ว 13 ประตูนำดาวซัล แชมเปียนส์ ลีก ณ ขณะนี้ ซึ่งกัปตันทีมชาติโปรตุเกสก็น่าจะมีแรงกระตุ้นเป็นพิเศษ เพราะเหลืออีกแค่ 7 ประตูจะเท่ากับดาวยิงสูงสุดตลอดกาลอย่าง ราอูล กอนซาเลซ รุ่นพี่ “ราชันชุดขาว” ที่ทำเอาไว้ 71 ประตู เหลืออีก 5 นัดถ้าได้ชิงดูแล้วมีโอกาสเป็นไปได้ ที่ผ่านมาเจอกัน 8 ครั้งในถ้วยใบใหญ่สุดของยุโรปต่างฝ่ายต่างไม่เคยเพลี่ยงพล้ำคาบ้าน 1997-98 รอบ 4 ทีม รีล มาดริด รวมชนะ 2-0 ส่วน 2002-03 รอบแบ่งกลุ่ม ด้านฤดูกาลที่แล้วเจอกัน 4 นัดเลยทีเดียวเริ่มจากรอบแบ่งกลุ่ม ก่อนที่ “เสือเหลือง” จะล้างแค้นรอบรองชนะเลิศเฉือนด้วยประตูรวม 4-3 ผ่านเข้าไปชิงก่อนจะแพ้ บาเยิร์น มิวนิก
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *