คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน ราชวังสัน
เมื่อก้าวเข้าสู่เดือนมีนาคม ฤดูกาลของการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง ( Formula One ) ก็ได้เวลาเปิดฉากขึ้น โดยรายการแรกคือ โรเล็กซ์ ออสตราเลียน กร็อง ปรี ( 2014 Formula 1 Rolex Australian Grand Prix ) ที่ เมลเบิร์น ประเทศออสตราเลีย ในวันที่ 16 มีนาคมนี้ ซึ่งแฟนๆ คงต้องเตรียมตัวเตรียมใจต้อนรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นนับแต่นี้ไป
ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นมันหลายอย่างเหลือเกิน แต่ผมจะขอยกมากล่าวถึงบางเรื่องพอสังเขปก็แล้วกัน เริ่มที่สนามแข่ง 2 สนามถูกถอดออกไปจากปฏิทินการแข่งขันคือ อินเดียน กร็อง ปรี ( Indian Grand Prix ) ที่ ประเทศอินเดีย ซึ่งยังตกลงกันเรื่องภาษีกับทาง รัฐอุตรประเทศ ไม่รู้เรื่อง ทาง สหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ ( Federation Internationale de l'Automobile - FIA ) จึงให้หยุดไปก่อน เดี๋ยวปีหน้าค่อยกลับมาแข่งใหม่ และอีกสนามคือ โคเรียน กร็อง ปรี ( Korean Grand Prix ) ที่ เกาหลีใต้ ที่ยังขาดความพร้อมในหลายๆ
ด้านสหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ จัดการแก้ปัญหาด้วยการบรรจุ รัชเชี่ยน กร็อง ปรี ( Russian Grand Prix ) ที่ Sochi International Street Circuit ใน โซชี ประเทศรัสเซีย และ ออสเตรียน กร็อง ปรี ( Austrian Grand Prix ) ที่ Red Bull Ring ใน สปีลแบร์ก ประเทศออสเตรีย เข้ามาแทนที่ ทำให้ในฤดูกาล 2014 ยังมีการแข่งขันรวมทั้งสิ้น 19 สนามเช่นเดิม
เรื่องต่อมาคือ การเพิ่มคะแนนให้ผู้เข้าเส้นชัย 10 อันดับแรกในการแข่งขันรายการสุดท้ายของฤดูกาลเป็น 2 เท่า นั่นหมายถึง แช้มพ์รายการอื่นๆ จะได้คะแนนสะสม 25 คะแนน แต่สำหรับคนที่คว้าแช้มพ์รายการ Etihad Airways Abu Dhabi Grand Prix ที่ Yas Marina Circuit ใน อาบู ดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรทส์ ซึ่งจะแข่งกันในวันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ จะรับไปเนื้อๆ 50 คะแนน ในขณะที่รองแช้มพ์ แทนที่จะได้เพียง 18 คะแนน ก็จะได้เป็น 36 คะแนน ลดหลั่นกันไปจนถึงอันดับที่ 10 อย่างเช่น ในกรณีผู้เข้าเส้นชัยมาเป็นอันดับที่ 4 ใน 18 รายการก่อนหน้า เขาจะได้ 12 คะแนน แต่ถ้าเป็นสนามสุดท้าย หมอนี่จะกวาดไป 24 คะแนน เป็นคะแนนที่มากราวกับการคว้าสักหนึ่งแช้มพ์ในอีก 18 สนามเลยทีเดียว
ทั้งนี้ เขาให้เหตุผลว่า เพื่อให้การแข่งขันมีความน่าสนใจ ต้องลุ้นกันจนหยดสุดท้าย โดยคะแนนที่ผู้เข้าเส้นชัย 10 อันดับแรกจะได้จากการแข่งขันรายการสุดท้ายนี้จะมีน้ำหนักมากจนเป็นส่วนสำคัญที่อาจทำให้แช้มพ์โลกประจำฤดูกาลเปลี่ยนมือได้เลย เปรียบกับของเดิมที่หลายครั้งยังไม่ทันจบฤดูกาล คะแนนก็ขาดลอยไม่ต้องลุ้นกันแล้ว
เรื่องหมายเลขรถก็ได้ข้อสรุปเรียบร้อยครับ โดยนับแต่นี้เป็นต้นไป นักแข่งจะสามารถเลือกหมายเลขใดหมายเลขหนึ่ง จาก 2 ถึง 99 แล้วใช้ไปตลอดการแข่งอาชีพเลย เช่น Lewis Hamilton เลือกหมายเลข 44 Fernando Alonso ชอบหมายเลข 14 Jenson Button ขอเป็นเบอร์ 22 ส่วน Sebastian Vettel อันนี้เป็นแช้มพ์โลก 4 สมัยซ้อน เอาเบอร์ 1 ไปเลย
นอกจากนั้น ต่อไปนี้นักแข่งคนไหนได้ตำแหน่ง โพล เพอซีเชิ่น ( Pole Position ) มากที่สุดในฤดูกาล คือ ได้ตำแหน่งการออกสตาร์ทแถวหน้าสุดฝั่งในของสนาม ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่ได้เปรียบที่สุดตอนออกตัว เนื่องจากเป็นผู้ที่ทำเวลาดีที่สุดในรอบคัดเลือก เขาจะมี โทรฟี่ ให้ด้วยครับ ในกรณีที่จำนวน โพล เพอซีเชิ่น เท่ากัน เขาก็ให้ดูว่าใครได้ตำแหน่งรองมากกว่า ผู้นั้นก็ถือว่าได้แช้มพ์ โพล เพอซีเชิ่น แห่งฤดูกาล
ในส่วนที่เกี่ยวกับรถ เครื่องยนต์ ก็มีความเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดอยู่บ้าง เช่น เรื่องปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงตอนเริ่มออกสตาร์ทที่เคยจำกัดให้ 150 กิโลกรัม ในปี 2013 ก็ลดปริมาณลงมาเป็น 100 กิโลกรัม ในปีนี้ ความเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้ ปี 2014 ถือเป็นปีสำคัญอีกปีหนึ่งที่ ฟอร์มิวล่า วัน เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างมากทีเดียวครับ
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
เมื่อก้าวเข้าสู่เดือนมีนาคม ฤดูกาลของการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง ( Formula One ) ก็ได้เวลาเปิดฉากขึ้น โดยรายการแรกคือ โรเล็กซ์ ออสตราเลียน กร็อง ปรี ( 2014 Formula 1 Rolex Australian Grand Prix ) ที่ เมลเบิร์น ประเทศออสตราเลีย ในวันที่ 16 มีนาคมนี้ ซึ่งแฟนๆ คงต้องเตรียมตัวเตรียมใจต้อนรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นนับแต่นี้ไป
ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นมันหลายอย่างเหลือเกิน แต่ผมจะขอยกมากล่าวถึงบางเรื่องพอสังเขปก็แล้วกัน เริ่มที่สนามแข่ง 2 สนามถูกถอดออกไปจากปฏิทินการแข่งขันคือ อินเดียน กร็อง ปรี ( Indian Grand Prix ) ที่ ประเทศอินเดีย ซึ่งยังตกลงกันเรื่องภาษีกับทาง รัฐอุตรประเทศ ไม่รู้เรื่อง ทาง สหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ ( Federation Internationale de l'Automobile - FIA ) จึงให้หยุดไปก่อน เดี๋ยวปีหน้าค่อยกลับมาแข่งใหม่ และอีกสนามคือ โคเรียน กร็อง ปรี ( Korean Grand Prix ) ที่ เกาหลีใต้ ที่ยังขาดความพร้อมในหลายๆ
ด้านสหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ จัดการแก้ปัญหาด้วยการบรรจุ รัชเชี่ยน กร็อง ปรี ( Russian Grand Prix ) ที่ Sochi International Street Circuit ใน โซชี ประเทศรัสเซีย และ ออสเตรียน กร็อง ปรี ( Austrian Grand Prix ) ที่ Red Bull Ring ใน สปีลแบร์ก ประเทศออสเตรีย เข้ามาแทนที่ ทำให้ในฤดูกาล 2014 ยังมีการแข่งขันรวมทั้งสิ้น 19 สนามเช่นเดิม
เรื่องต่อมาคือ การเพิ่มคะแนนให้ผู้เข้าเส้นชัย 10 อันดับแรกในการแข่งขันรายการสุดท้ายของฤดูกาลเป็น 2 เท่า นั่นหมายถึง แช้มพ์รายการอื่นๆ จะได้คะแนนสะสม 25 คะแนน แต่สำหรับคนที่คว้าแช้มพ์รายการ Etihad Airways Abu Dhabi Grand Prix ที่ Yas Marina Circuit ใน อาบู ดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรทส์ ซึ่งจะแข่งกันในวันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ จะรับไปเนื้อๆ 50 คะแนน ในขณะที่รองแช้มพ์ แทนที่จะได้เพียง 18 คะแนน ก็จะได้เป็น 36 คะแนน ลดหลั่นกันไปจนถึงอันดับที่ 10 อย่างเช่น ในกรณีผู้เข้าเส้นชัยมาเป็นอันดับที่ 4 ใน 18 รายการก่อนหน้า เขาจะได้ 12 คะแนน แต่ถ้าเป็นสนามสุดท้าย หมอนี่จะกวาดไป 24 คะแนน เป็นคะแนนที่มากราวกับการคว้าสักหนึ่งแช้มพ์ในอีก 18 สนามเลยทีเดียว
ทั้งนี้ เขาให้เหตุผลว่า เพื่อให้การแข่งขันมีความน่าสนใจ ต้องลุ้นกันจนหยดสุดท้าย โดยคะแนนที่ผู้เข้าเส้นชัย 10 อันดับแรกจะได้จากการแข่งขันรายการสุดท้ายนี้จะมีน้ำหนักมากจนเป็นส่วนสำคัญที่อาจทำให้แช้มพ์โลกประจำฤดูกาลเปลี่ยนมือได้เลย เปรียบกับของเดิมที่หลายครั้งยังไม่ทันจบฤดูกาล คะแนนก็ขาดลอยไม่ต้องลุ้นกันแล้ว
เรื่องหมายเลขรถก็ได้ข้อสรุปเรียบร้อยครับ โดยนับแต่นี้เป็นต้นไป นักแข่งจะสามารถเลือกหมายเลขใดหมายเลขหนึ่ง จาก 2 ถึง 99 แล้วใช้ไปตลอดการแข่งอาชีพเลย เช่น Lewis Hamilton เลือกหมายเลข 44 Fernando Alonso ชอบหมายเลข 14 Jenson Button ขอเป็นเบอร์ 22 ส่วน Sebastian Vettel อันนี้เป็นแช้มพ์โลก 4 สมัยซ้อน เอาเบอร์ 1 ไปเลย
นอกจากนั้น ต่อไปนี้นักแข่งคนไหนได้ตำแหน่ง โพล เพอซีเชิ่น ( Pole Position ) มากที่สุดในฤดูกาล คือ ได้ตำแหน่งการออกสตาร์ทแถวหน้าสุดฝั่งในของสนาม ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่ได้เปรียบที่สุดตอนออกตัว เนื่องจากเป็นผู้ที่ทำเวลาดีที่สุดในรอบคัดเลือก เขาจะมี โทรฟี่ ให้ด้วยครับ ในกรณีที่จำนวน โพล เพอซีเชิ่น เท่ากัน เขาก็ให้ดูว่าใครได้ตำแหน่งรองมากกว่า ผู้นั้นก็ถือว่าได้แช้มพ์ โพล เพอซีเชิ่น แห่งฤดูกาล
ในส่วนที่เกี่ยวกับรถ เครื่องยนต์ ก็มีความเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดอยู่บ้าง เช่น เรื่องปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงตอนเริ่มออกสตาร์ทที่เคยจำกัดให้ 150 กิโลกรัม ในปี 2013 ก็ลดปริมาณลงมาเป็น 100 กิโลกรัม ในปีนี้ ความเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้ ปี 2014 ถือเป็นปีสำคัญอีกปีหนึ่งที่ ฟอร์มิวล่า วัน เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างมากทีเดียวครับ
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
