คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
“ไทม์เอาท์” สัปดาห์นี้ส่งตรงจากต่างแดนเพื่อผู้อ่านโดยเฉพาะ หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมา “ชมณัฐ” ได้รับภารกิจให้ลัดฟ้าไปเกาะติดสถานการณ์ การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 27 หรือ “เนปิดอว์เกมส์” ที่ประเทศเมียนมาร์ โดยเริ่มต้นจาก “ศึกฟุตบอลชาย” ตั้งแต่นัดที่ “ช้างศึก” ประเดิมสนามพบ ติมอร์ เลสเต ที่ ตูวันนา สเตเดียม เมืองย่างกุ้ง อดีตเมืองหลวงของเจ้าถิ่น
ซึ่งก่อนเดินทางตนเองรู้สึกกระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษ เพราะทริปนี้ได้โอกาสฉายเดี่ยว แบกเป้ไปเพียงคนเดียว โดยตั้งใจไว้ว่าจะต้องหาเวลาว่างไปสักการะเจดีย์ชเวดากอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวเมียนมาร์ให้ได้ และเมื่อกายพร้อมใจพร้อมก็ได้ฤกษ์ลัดฟ้ามาเทียบท่ายัง “ย่างกุ้ง อินเตอร์เนชันแนล แอร์พอร์ต” สนามบินประจำเมือง โดยหลังจากแลกเงินเสร็จสรรพ (อัตรา 1 บาท ต่อ 30.5 จ๊าด) ก็จัดการโบกแท็กซี่ไปส่งที่โรงแรมพร้อมเดินทางต่อไปดูลาดเลาสนามฟุตบอลทันที
ยอมรับเลยว่าก่อนเดินทางไม่ได้ศึกษารายละเอียดเท่าที่ควร หลงคิดในใจว่าย่างกุ้งยังเป็นเมืองเก่าผู้คนคงไม่วุ่นวายนัก แต่ที่ไหนได้สิ่งแรกที่เจอกลับเป็นปัญหารถติด! และไม่ติดธรรมดานะครับ ติดชนิดที่กรุงเทพฯชิดซ้าย ระยะทางไม่ถึง 10 กิโลเมตร ใช้เวลาสัญจรร่วมชั่วโมง แถมสภาพอากาศก็ร้อนตับแลบอุณหภูมิเฉียดๆ 30 องศาเห็นจะได้ ที่สำคัญแท็กซี่ที่นี่เขาไม่นิยมเปิดแอร์แต่ใช้วิธิลดกระจกแทนจึงยิ่งทวีความเดือดเข้าไปอีก หนำซ้ำแต่ละคันยังบีบแตรไล่ใส่กันแบบไม่เกรงใจตลอดเส้นทาง แบบว่าถ้าเป็นเมืองไทยคงมีฟาดปากกันไปแล้ว จนผมอยากจะดัดจริตตะโกนเป็นภาษาอังกฤษออกมาดังๆ ว่า “What the hell am I doing here!”
ไม่จบเท่านั้นขากลับจากการลาดตระเวนดูสังเวียนแข้งของช้างศึก แท็กซี่เจ้ากรรมก็ดันพาผมหลง อันเนื่องมาจากคนพื้นเมืองที่นี่ที่ไม่ค่อยได้คลุกคลีกับชาวต่างชาติมากนัก แม้จะพูดภาษาอังกฤษได้ แต่สำเนียงจะแปล่งๆ เล็กน้อย หนำซ้ำยังเคี้ยวหมากในปากตลอดเวลา จึงทำให้ฟังไม่ชัดและสื่อสารกันไม่ค่อยเข้าใจ แต่ในความโชคร้ายยังพอมีโชคดีอยู่บ้างเมื่อเส้นทางที่พี่แท็กซี่พาไปนั้น ไปโผล่ยังเจดีย์ชเวดากองพอดี จึงถือโอกาสขอลงแล้วเข้าไปสักการบูชาเลยทีเดียว เมื่อได้เห็นกับตาก็รู้สึกเลยว่าสวยงามทองอร่ามสมคำร่ำลือจริงๆ
วันแรกผ่านไปอย่างตะกุกตะกัก การผจญภัยวันที่สองก็เริ่มขึ้น ภารกิจสำคัญคือการไปชมเกมนัดแรกของทีมชาติไทย เมื่อไปถึงสนามก็ต้องสะดุ้งกับทหารหาญที่ถือปืนกลคอยต้อนรับอยู่หน้าทางเข้า ขณะที่บรรยากาศโดยรอบเห็นได้ว่าแฟนบอลเจ้าถิ่นให้ความสนใจเป็นพิเศษ กระตือรือร้นมารอตั้งแต่หัววัน แม้ทีมจะลงแข่งเป็นคู่ที่สองต่อจากไทยก็ตาม ต่างคนต่างเบียดเสียดกันเพื่อที่จะจับจองเสื้อทีม หมวก ผ้าพันคอ และของที่ระลึกอื่นๆ พร้อมร่วมร้องเพลงอย่างสนุกสนาน และเมื่อเกมเริ่มขึ้นกองเชียร์เมียนมาร์ก็แห่เข้าชมเกือบเต็มความจุพร้อมตะโดนเชียร์เสียงดังลั่นว่า “ติมอร์ ติมอร์ ติมอร์!?” แม้ผลสุดท้ายช้างศึกจะกำชัย 3-1 แต่กองเชียร์หม่องยังตะโกนกึกก้องไม่หยุด จนแอบหวั่นในใจว่าหากเกมที่จะต้องเจอกันวันที่ 14 ธันวาคม ไทยเป็นฝ่ายชนะ เราจะเอาตัวรอดออกจากสนามได้หรือไม่
ส่วนความเป็นอยู่นั้นใช้คำว่า “รันทด” ก็ว่าได้ นอกจากต้องอยู่คนเดียวแล้ว ย่านโรงแรมที่พักยังอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองหรือดาวน์ทาวน์มากโข จึงลืมเรื่องห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือการชอปปิ้งไปได้เลย เลี้ยวซ้ายออกมาจะเจอย่านชุมชนท้องถิ่น ร้านรวงต่างๆ 2 ข้างทางขายของพื้นบ้านเป็นหลัก หากเลี้ยวขวาจะเจอทะเลสาบอินยา “INYA LAKE” ซึ่งเป็นที่ที่ผู้คนจะมาผ่อนคลาย เพราะมีสวนหย่อมตลอดริมฝั่ง เปิดตั้งแต่เช้าจรดค่ำ บ้างนั่งชมวิว บ้างรวมกลุ่มร้องรำทำเพลง-เล่นกีฬา ตลอดจนหนุ่มสาวที่นิยมมานั่งพลอดรักกันหลาย 10 คู่
นอกจากฟุตบอลแล้ว ผมยังมีโอกาสได้ตามกีฬาอื่นๆ ที่ลงแข่งขันในอดีตเมืองหลวงแห่งนี้ด้วย อาทิ มวยปล้ำ, ยิงปืน, ฮอกกี, ยกน้ำหนัก และ เพาะกาย ซึ่งสนามแต่ละแห่งนั้นก็อยู่ไกลคนละโยชน์ การเดินทางแต่ละครั้งจำต้องเผื่อเวลาไว้ 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย อีกอย่างที่นี่ไม่มีมอร์เตอร์ไซค์รับจ้างคอยบริการ ต้องอาศัยจับแท็กซี่เพียงอย่างเดียว สนนราคาค่าโดยสารก็ไม่แพงอยู่ที่ราว 3,000-6,000 จ๊าด แล้วแต่ระยะทางใกล้ไกล โดยหลังจากฟุตบอลชายจบการแข่งขันรอบแรกแล้วผมยังมีภารกิจตามไปสมทบกับเพื่อนร่วมทีมที่ปักหลักอยู่ ณ กรุงเนปิดอว์ ซึ่งจะต้องผจญภัยกับอะไรอีกนั้นจะมาเล่าสู่กันให้ฟังอีกแน่นอน
“ไทม์เอาท์” สัปดาห์นี้ส่งตรงจากต่างแดนเพื่อผู้อ่านโดยเฉพาะ หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมา “ชมณัฐ” ได้รับภารกิจให้ลัดฟ้าไปเกาะติดสถานการณ์ การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 27 หรือ “เนปิดอว์เกมส์” ที่ประเทศเมียนมาร์ โดยเริ่มต้นจาก “ศึกฟุตบอลชาย” ตั้งแต่นัดที่ “ช้างศึก” ประเดิมสนามพบ ติมอร์ เลสเต ที่ ตูวันนา สเตเดียม เมืองย่างกุ้ง อดีตเมืองหลวงของเจ้าถิ่น
ซึ่งก่อนเดินทางตนเองรู้สึกกระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษ เพราะทริปนี้ได้โอกาสฉายเดี่ยว แบกเป้ไปเพียงคนเดียว โดยตั้งใจไว้ว่าจะต้องหาเวลาว่างไปสักการะเจดีย์ชเวดากอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวเมียนมาร์ให้ได้ และเมื่อกายพร้อมใจพร้อมก็ได้ฤกษ์ลัดฟ้ามาเทียบท่ายัง “ย่างกุ้ง อินเตอร์เนชันแนล แอร์พอร์ต” สนามบินประจำเมือง โดยหลังจากแลกเงินเสร็จสรรพ (อัตรา 1 บาท ต่อ 30.5 จ๊าด) ก็จัดการโบกแท็กซี่ไปส่งที่โรงแรมพร้อมเดินทางต่อไปดูลาดเลาสนามฟุตบอลทันที
ยอมรับเลยว่าก่อนเดินทางไม่ได้ศึกษารายละเอียดเท่าที่ควร หลงคิดในใจว่าย่างกุ้งยังเป็นเมืองเก่าผู้คนคงไม่วุ่นวายนัก แต่ที่ไหนได้สิ่งแรกที่เจอกลับเป็นปัญหารถติด! และไม่ติดธรรมดานะครับ ติดชนิดที่กรุงเทพฯชิดซ้าย ระยะทางไม่ถึง 10 กิโลเมตร ใช้เวลาสัญจรร่วมชั่วโมง แถมสภาพอากาศก็ร้อนตับแลบอุณหภูมิเฉียดๆ 30 องศาเห็นจะได้ ที่สำคัญแท็กซี่ที่นี่เขาไม่นิยมเปิดแอร์แต่ใช้วิธิลดกระจกแทนจึงยิ่งทวีความเดือดเข้าไปอีก หนำซ้ำแต่ละคันยังบีบแตรไล่ใส่กันแบบไม่เกรงใจตลอดเส้นทาง แบบว่าถ้าเป็นเมืองไทยคงมีฟาดปากกันไปแล้ว จนผมอยากจะดัดจริตตะโกนเป็นภาษาอังกฤษออกมาดังๆ ว่า “What the hell am I doing here!”
ไม่จบเท่านั้นขากลับจากการลาดตระเวนดูสังเวียนแข้งของช้างศึก แท็กซี่เจ้ากรรมก็ดันพาผมหลง อันเนื่องมาจากคนพื้นเมืองที่นี่ที่ไม่ค่อยได้คลุกคลีกับชาวต่างชาติมากนัก แม้จะพูดภาษาอังกฤษได้ แต่สำเนียงจะแปล่งๆ เล็กน้อย หนำซ้ำยังเคี้ยวหมากในปากตลอดเวลา จึงทำให้ฟังไม่ชัดและสื่อสารกันไม่ค่อยเข้าใจ แต่ในความโชคร้ายยังพอมีโชคดีอยู่บ้างเมื่อเส้นทางที่พี่แท็กซี่พาไปนั้น ไปโผล่ยังเจดีย์ชเวดากองพอดี จึงถือโอกาสขอลงแล้วเข้าไปสักการบูชาเลยทีเดียว เมื่อได้เห็นกับตาก็รู้สึกเลยว่าสวยงามทองอร่ามสมคำร่ำลือจริงๆ
วันแรกผ่านไปอย่างตะกุกตะกัก การผจญภัยวันที่สองก็เริ่มขึ้น ภารกิจสำคัญคือการไปชมเกมนัดแรกของทีมชาติไทย เมื่อไปถึงสนามก็ต้องสะดุ้งกับทหารหาญที่ถือปืนกลคอยต้อนรับอยู่หน้าทางเข้า ขณะที่บรรยากาศโดยรอบเห็นได้ว่าแฟนบอลเจ้าถิ่นให้ความสนใจเป็นพิเศษ กระตือรือร้นมารอตั้งแต่หัววัน แม้ทีมจะลงแข่งเป็นคู่ที่สองต่อจากไทยก็ตาม ต่างคนต่างเบียดเสียดกันเพื่อที่จะจับจองเสื้อทีม หมวก ผ้าพันคอ และของที่ระลึกอื่นๆ พร้อมร่วมร้องเพลงอย่างสนุกสนาน และเมื่อเกมเริ่มขึ้นกองเชียร์เมียนมาร์ก็แห่เข้าชมเกือบเต็มความจุพร้อมตะโดนเชียร์เสียงดังลั่นว่า “ติมอร์ ติมอร์ ติมอร์!?” แม้ผลสุดท้ายช้างศึกจะกำชัย 3-1 แต่กองเชียร์หม่องยังตะโกนกึกก้องไม่หยุด จนแอบหวั่นในใจว่าหากเกมที่จะต้องเจอกันวันที่ 14 ธันวาคม ไทยเป็นฝ่ายชนะ เราจะเอาตัวรอดออกจากสนามได้หรือไม่
ส่วนความเป็นอยู่นั้นใช้คำว่า “รันทด” ก็ว่าได้ นอกจากต้องอยู่คนเดียวแล้ว ย่านโรงแรมที่พักยังอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองหรือดาวน์ทาวน์มากโข จึงลืมเรื่องห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือการชอปปิ้งไปได้เลย เลี้ยวซ้ายออกมาจะเจอย่านชุมชนท้องถิ่น ร้านรวงต่างๆ 2 ข้างทางขายของพื้นบ้านเป็นหลัก หากเลี้ยวขวาจะเจอทะเลสาบอินยา “INYA LAKE” ซึ่งเป็นที่ที่ผู้คนจะมาผ่อนคลาย เพราะมีสวนหย่อมตลอดริมฝั่ง เปิดตั้งแต่เช้าจรดค่ำ บ้างนั่งชมวิว บ้างรวมกลุ่มร้องรำทำเพลง-เล่นกีฬา ตลอดจนหนุ่มสาวที่นิยมมานั่งพลอดรักกันหลาย 10 คู่
นอกจากฟุตบอลแล้ว ผมยังมีโอกาสได้ตามกีฬาอื่นๆ ที่ลงแข่งขันในอดีตเมืองหลวงแห่งนี้ด้วย อาทิ มวยปล้ำ, ยิงปืน, ฮอกกี, ยกน้ำหนัก และ เพาะกาย ซึ่งสนามแต่ละแห่งนั้นก็อยู่ไกลคนละโยชน์ การเดินทางแต่ละครั้งจำต้องเผื่อเวลาไว้ 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย อีกอย่างที่นี่ไม่มีมอร์เตอร์ไซค์รับจ้างคอยบริการ ต้องอาศัยจับแท็กซี่เพียงอย่างเดียว สนนราคาค่าโดยสารก็ไม่แพงอยู่ที่ราว 3,000-6,000 จ๊าด แล้วแต่ระยะทางใกล้ไกล โดยหลังจากฟุตบอลชายจบการแข่งขันรอบแรกแล้วผมยังมีภารกิจตามไปสมทบกับเพื่อนร่วมทีมที่ปักหลักอยู่ ณ กรุงเนปิดอว์ ซึ่งจะต้องผจญภัยกับอะไรอีกนั้นจะมาเล่าสู่กันให้ฟังอีกแน่นอน