เอเยนซี - “แชมป์เก่า” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ออกสตาร์ทแบบกระท่อนกระแท่น ฟอร์มเริ่มกระเตื้อง 8 นัดหลังสุดรวมทุกรายการไม่แพ้ใคร อย่างไรก็ตามวันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายนนี้ เจอโจทย์มหาหิน เปิด โอลด์ แทรฟฟอร์ด พบ อาร์เซนอล ชนิดที่ว่าแพ้หรือเสมอไม่เป็นผลดีทั้งสิ้น เนื่องจากตามหลังจ่าฝูงถึง 8 แต้ม แต่ เวย์น รูนีย์ หอกเจ้าถิ่นออกมาลั่นจะดับซ่า “ปืนโต” อย่างที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว แม้อาคันตุกะจากลอนดอนฤดูกาลนี้ไม่ธรรมดายกระดับขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเกมรับและเกมรุก
ก่อนเกมนี้มี 2 กระแสเกิดขึ้น อย่างแรกเลยทุกคนไม่เชื่อมือ เดวิด มอยส์ ที่มารับไม้ต่อทายาทอสูรจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เพราะรั้งอันดับ 8 มี 17 แต้มจาก 10 นัด แถมชนะบิ๊กเนมไม่ได้เลยคือเสมอ เชลซี 0-0 แพ้ ลิเวอร์พูล 0-1 และแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี 1-4 ขณะที่ล่าสุดบุกไปเสมอ รีล โซเซียดัด 0-0 ศึก ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่มๆ เอ นัด 4 เมื่อวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แม้นำอยู่มี 8 แต้ม แต่ยังต้องลุ้นเข้ารอบน็อกเอาต์ต่อไปกับ 2 นัดที่เหลือ ซึ่งที่ผ่านมา 17 นัดรวมทุกรายการกุนซือชาวสกอตกำลังเรียนรู้นักเตะและค้นหา 11 ผู้เล่นคนแรกในใจ แต่ใจยังไม่กล้าได้กล้าเสียเปิดแหลกเหมือน “ผีแดง” เมื่อครั้งอดีต
อีกมุมคือ “แมนฯยู ก็ยังเป็น แมนฯยู วันยังค่ำ” และมักจะมีทีเด็ดเสมอชอบเอาชนะพวกทีมที่ฟอร์มกำลังร้อนแรงอย่าง อาร์เซนอล ซึ่งที่ผ่านมาในอดีตยุค เซอร์ อเล็กซ์ ก็เคยทำได้แล้วด้วยการหยุดสถิติไร้พ่ายของ “ปืนโต” เอาไว้ที่ 49 นัดด้วยการเปิด โอลด์ แทรฟฟอร์ด ชนะ 2-0 เมื่อปี 2004 จากการยิงของ รุด ฟาน นิสเตลรอย จุดโทษ และ เวย์น รูนีย์
ก่อนเกม รูนีย์ ที่ซัดในลีกไป 5 ประตู แต่รวมทุกรายการ 7 ประตูออกมากระตุ้นพลพรรค แมนฯยู บีบช่องว่างเหลือ 5 แต้มให้ได้ “เห็นได้ชัดว่าเรามีศักยภาพที่จะเอาชนะ อาร์เซนอล ซึ่งที่ผ่านมาหลายปีก็ได้ประจักษ์ไปแล้ว พวกเขาอยู่บนฟอร์มที่ดีรวมถึงตำแหน่งจ่าฝูงของตาราง ดังนั้นทุกคนจึงรู้ดีว่าเป็นเกมที่ยาก แต่จะลงสนามพร้อมความมั่นใจเพื่อบีบช่องว่างของตาราง”
พร้อมกันนี้หอกทีมชาติอังกฤษยังไม่เชื่อน้ำยา อาร์เซนอล ว่าจะยืนระยะได้ตลอดรอดฝั่ง หลังไร้แชมป์มาตั้งแต่ เอฟเอ คัพ ปี 2005 “เราคงจะต้องรอและดูกันต่อไปถึงเดือนมีนาคมนี้ เพราะเคยเห็นแล้วว่า อาร์เซนอล นำจ่าฝูงและรั้งอันดับ 2 จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์จากนั้นก็ค่อยๆ หลุดวงโคจรไป ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาเองแล้ว ส่วน แมนฯยู อาจจะไปติดเครื่องช่วงคริสต์มาส ไม่มีอะไรน่ากังวลเพิ่งผ่านไป 10 เกม ซึ่งทุกคนเริ่มทำได้ดี หากวันอาทิตย์นี้ชนะคิดว่าเราจะกลับสู่ตำแหน่งที่ยอดเยี่ยม”
ด้าน อาร์เซนอล แพ้ แอสตัน วิลลา คาถิ่น 1-3 ตั้งแต่นัดเปิดฤดูกาลจากนั้นฟอร์มก็ไหลลื่นจนล่าสุดศึก ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่มๆ เอฟ นัด 4 ที่ถือว่าเป็น “กรุ๊ป ออฟ เดธ” บุกชนะ โบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์ 1-0 เมื่อวันพุธที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมาจากแข้งที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดอย่าง อารอน แรมซีย์ กองกลางทีมชาติเวลส์ ซึ่งซัดรวมทุกรายการไปแล้ว 11 ประตูจาก 17 นัด จะประสานงานแดนกลางกับ ซานติ กาซอร์ลา, เมซุต โอซิล และ โทมัส โรซิคกี แม้จะมีข่าวว่า ธีโอ วัลคอตต์ ปีกจรวดหายเจ็บจากการผ่าตัดท้องแล้ว แต่คงสตาร์ทที่ม้านั่งสำรองไปก่อน
นอกจากนี้เกมรับ อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือ อาร์เซนอล เหมือนจะได้แผงแบ็กโฟร์ในใจแล้วคือ คีแรน กิบบ์ส, แพร์ แมร์เตซัคเกอร์, โลร็องต์ กอสเซียลนีย์ และ บาการี ซานญา โดยเสียไปแค่ 9 ประตูจนถูกยกย่องทาบตำนานอย่าง โทนี อดัมส์, ไนเจล วินเทอร์เบิร์น, ลี ดิ๊กซัน และ มาร์ติน คีโอว์น
สถิติเจอกันในลีกของทั้งคู่ แมนฯยู เปิดบ้านชนะมาแล้ว 4 ปีติด หนล่าสุดที่แพ้คารังต้องย้อนไปปี 2006 จากการยิงของ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ช่วงท้ายเกมด้วยสกอร์ 0-1 แม้ผลงาน “ผีแดง” ที่ผ่านมาในอดีตดีกว่าก็จริง ทว่าตอนนี้เปลี่ยนมือมาเป็น มอยส์ แล้ว แถมธรรมชาติยังไม่ชอบสไตล์ครองบอลเหนียวแน่นและเคลื่อนที่เร็ว จึงต้องเน้นจังหวะฉาบฉวยหากใช้โอกาสไม่เปลือง รูนีย์ กับ โรบิน ฟาน เพอร์ซี ก็มีลุ้นที่จะเอาชนะ อาร์เซนอล ได้เหมือนกัน