คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
แม้จะต้องโม่แข้งถึง 4 ถ้วยติดต่อกันยาวนานถึง 8 เดือนเต็มแบบไม่มีหยุดพัก แต่ในที่สุด “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็แสดงศักยภาพให้เห็นแล้วว่าไม่ได้คณามือ ทวงแชมป์โตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก 2013 กลับมาโชว์ยังถิ่นไอ-โมบาย สเตเดียม ได้อีกครั้ง เป็นรางวัลปลอบใจชิ้นแรกหลังจากที่ผลการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยไม่เป็นดั่งใจ
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เถลิงบัลลังก์ลีกสูงสุดเป็นสมัยที่ 2 ต่อจากปี 2011 อีกทั้งยังลุ้นป้องกันแชมป์บอลถ้วยอีก 2 รายการคือ มูลนิธิไทยคม เอฟเอ คัพ กับ โตโยต้า ลีก คัพ ซึ่งต้องบอกว่า 3 ฤดูกาลหลังสุดนับตั้งแต่ได้เทคโอเวอร์จากสโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จ.อยุธยา แล้วนั้น ความสำเร็จได้หลั่งไหลเข้ามายังถิ่นอีสานใต้ไม่มีหยุด ผลงานปีแรกก็กระหึ่มกวาดเรียบ 3 แชมป์ แม้ซีซันต่อมาจะชวดไทยพรีเมียร์ลีกแต่ก็ได้บอลถ้วย 2 รายการปลอบใจ ยังไม่รวมบรรดาโทรฟียิบย่อยอาทิถ้วยพระราชทาน ก กับถ้วยโตโยต้า พรีเมียร์ คัพ อีก และที่สำคัญปีนี้ “ปราสาทสายฟ้า” ยังได้ฝากชื่อไว้ในระดับทวีปเรียบร้อยจากการหักปากกาเซียนทะลุเข้ารอบ 8 ทีม ศึกเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก จึงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่านี้คือว่าที่ตำนานบทใหม่ของฟุตบอลสโมสรไทย
หากย้อนกลับไปต้นฤดูกาล บุรีรัมย์ ออกสตาร์ทได้ไม่แจ่มแจ๋วนักเนื่องจากการขาดหายไปของ แฟรงค์ โอฮานด์ซา และ แฟรงค์ อาเชียมปง 2 คีย์แมนสำคัญในเกมรุก ขณะที่แข้งต่างชาติที่ถูกเสริมเข้ามาอย่าง รัมเซส บุสโตส, ฮัน แจ วุง, ไค ฮิราโนะ, ฮาเวียร์ ปาติโญ และ คาร์เมโล กอนซาเลซ ก็หวือหวาแค่บางเกม สุดท้ายมีเพียงแค่ คาร์เมโล ดาวซัลโวสูงสุด, ปาติโญ และ ไค ที่ยืนระยะได้จนจบซีซัน ขณะที่รายอื่นที่ถูกเสริมเข้ามาในเลก 2 อย่าง เฮซุส เบอร์โรคัล กับ บรูโน อาริอัส ก็ยังไม่ถึงขั้น รวมถึงยังมีการเปลี่ยนกุนซือถึง 3 ราย จึงเป็นที่มาของสไตล์การเล่นที่เปลี่ยนไป จากทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องการเปิดเกมบุกริมเส้น ใช้ความเร็วของปีกทั้งสองข้างกระชากแนวรับคู่แข่ง กลายเป็นที่เน้นจังหวะ ค่อยๆ เจาะเข้าทำแทน
ดังนั้นจึงเห็นว่ามีหลายเกมที่ “เซราะกราว” ต้องบดคู่แข่งจนหืดจับกว่าจะได้คะแนนที่ล้ำค่า อาทิ เกมที่บุกไปเสมอ เชียงราย ยูไนเต็ด 2-2 ที่สนามยูไนเต็ด สเตเดียม ที่ได้ขึ้นชื่อว่า “นรกของทีมเยือน” แม้จะเหลือผู้เล่นเพียง 10 คนแต่ก็ยังยันมาได้ รวมถึง 1 แต้มสำคัญจากการบุกเจ๊า บีอีซี เทโรศาสน, สงขลา ยูไนเต็ด, อาร์มี ยูไนเต็ด, ทีโอที เอสซี, บางกอกกล๊าส เอฟซี และ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี โดยเฉพาะเกมเยือน “กระต่ายแก้ว” ของ “โค้ชแต๊ก” อรรถพล ปุษปาคม อดีตกุนซือที่รู้ไส้รู้พุง ที่แทบกระอักกว่าจะเอาตัวรอดออกมาพร้อมผลเสมอได้ แต่เกมสำคัญจริงๆอยู่ที่การบุกไปกำราบ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด 2-1 และกลับมายันเจ๊า 1-1 ทำให้เฮดทูเฮดเหนือกว่าคู่ปรับแย่งแชมป์
ถึงกระนั้นบุรีรัมย์ก็ยังปรับตัวได้รวดเร็ว เกมรุกที่กระหน่ำไป 71 ตุง (ก่อนเกมสุดท้าย) แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดได้อย่างดี ซึ่งนอกจากแข้งนอกที่ดาหน้ากันยิงมาแล้ว เครดิตสำคัญต้องยกให้ผู้เล่นไทยที่เป็นแก่นของทีมอย่างเต็มตัว สุเชาว์ นุชนุ่ม, จิรวัฒน์ มัครมย์, จักรพันธ์ แก้วพรม และ อนาวิน จูจีน คอยสลับสับเปลี่ยนขับเคลื่อนแดนกลางให้กับทีม นอกจากนั้นยังมีไม้ตายใหม่คือลูกตั้งเตะ ที่ได้อีซ้ายชั่งทองของ “เจ้าอุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน รับอาสาเหมาทั้งฟรีคิกและเปิดมุม หยอดเข้าจุดเกรงใจจนเปลี่ยนเป็นสกอร์มานักต่อนัก
ขณะที่หัวใจของแนวรับที่เสียไปเพียง 22 ประตู (ก่อนเกมสุดท้าย) คงหนีไม่พ้น ออสมาร์ อิบาเนซ ปราการเลือดสแปนิชที่ฝีเกือกเกินระดับไทยลีกไปแล้ว ผนึกกำลังกับ ประทุม ชูทอง และ ธนะศักดิ์ ศรีใส ได้อย่างเข้าขา และต้องบอกว่าผู้เล่นไทยที่กล่าวมานั้นจะยังเป็นแกนหลักของทีมในฤดูกาลหน้าต่อไปแน่นอน ส่วนผู้เล่นต่างชาติก็คงคอนเซ็ปต์เดิม กวาดต้อนเข้ามาเพื่อหาผู้ที่เหมาะสมที่สุด ส่วนใครชั้นไม่ถึงก็ต้องถูกเด้งออกไป
จึงเป็นที่น่าคิดว่าฤดูกาลหน้าต่อให้เพิ่มเป็น 20 ทีม นอกจาก “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดการแล้วก็คงไม่มีทีมใดที่มีศักยภาพพอที่จะหยุดยั้งความร้อนแรงของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้แน่นอน
แม้จะต้องโม่แข้งถึง 4 ถ้วยติดต่อกันยาวนานถึง 8 เดือนเต็มแบบไม่มีหยุดพัก แต่ในที่สุด “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็แสดงศักยภาพให้เห็นแล้วว่าไม่ได้คณามือ ทวงแชมป์โตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก 2013 กลับมาโชว์ยังถิ่นไอ-โมบาย สเตเดียม ได้อีกครั้ง เป็นรางวัลปลอบใจชิ้นแรกหลังจากที่ผลการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยไม่เป็นดั่งใจ
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เถลิงบัลลังก์ลีกสูงสุดเป็นสมัยที่ 2 ต่อจากปี 2011 อีกทั้งยังลุ้นป้องกันแชมป์บอลถ้วยอีก 2 รายการคือ มูลนิธิไทยคม เอฟเอ คัพ กับ โตโยต้า ลีก คัพ ซึ่งต้องบอกว่า 3 ฤดูกาลหลังสุดนับตั้งแต่ได้เทคโอเวอร์จากสโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จ.อยุธยา แล้วนั้น ความสำเร็จได้หลั่งไหลเข้ามายังถิ่นอีสานใต้ไม่มีหยุด ผลงานปีแรกก็กระหึ่มกวาดเรียบ 3 แชมป์ แม้ซีซันต่อมาจะชวดไทยพรีเมียร์ลีกแต่ก็ได้บอลถ้วย 2 รายการปลอบใจ ยังไม่รวมบรรดาโทรฟียิบย่อยอาทิถ้วยพระราชทาน ก กับถ้วยโตโยต้า พรีเมียร์ คัพ อีก และที่สำคัญปีนี้ “ปราสาทสายฟ้า” ยังได้ฝากชื่อไว้ในระดับทวีปเรียบร้อยจากการหักปากกาเซียนทะลุเข้ารอบ 8 ทีม ศึกเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก จึงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่านี้คือว่าที่ตำนานบทใหม่ของฟุตบอลสโมสรไทย
หากย้อนกลับไปต้นฤดูกาล บุรีรัมย์ ออกสตาร์ทได้ไม่แจ่มแจ๋วนักเนื่องจากการขาดหายไปของ แฟรงค์ โอฮานด์ซา และ แฟรงค์ อาเชียมปง 2 คีย์แมนสำคัญในเกมรุก ขณะที่แข้งต่างชาติที่ถูกเสริมเข้ามาอย่าง รัมเซส บุสโตส, ฮัน แจ วุง, ไค ฮิราโนะ, ฮาเวียร์ ปาติโญ และ คาร์เมโล กอนซาเลซ ก็หวือหวาแค่บางเกม สุดท้ายมีเพียงแค่ คาร์เมโล ดาวซัลโวสูงสุด, ปาติโญ และ ไค ที่ยืนระยะได้จนจบซีซัน ขณะที่รายอื่นที่ถูกเสริมเข้ามาในเลก 2 อย่าง เฮซุส เบอร์โรคัล กับ บรูโน อาริอัส ก็ยังไม่ถึงขั้น รวมถึงยังมีการเปลี่ยนกุนซือถึง 3 ราย จึงเป็นที่มาของสไตล์การเล่นที่เปลี่ยนไป จากทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องการเปิดเกมบุกริมเส้น ใช้ความเร็วของปีกทั้งสองข้างกระชากแนวรับคู่แข่ง กลายเป็นที่เน้นจังหวะ ค่อยๆ เจาะเข้าทำแทน
ดังนั้นจึงเห็นว่ามีหลายเกมที่ “เซราะกราว” ต้องบดคู่แข่งจนหืดจับกว่าจะได้คะแนนที่ล้ำค่า อาทิ เกมที่บุกไปเสมอ เชียงราย ยูไนเต็ด 2-2 ที่สนามยูไนเต็ด สเตเดียม ที่ได้ขึ้นชื่อว่า “นรกของทีมเยือน” แม้จะเหลือผู้เล่นเพียง 10 คนแต่ก็ยังยันมาได้ รวมถึง 1 แต้มสำคัญจากการบุกเจ๊า บีอีซี เทโรศาสน, สงขลา ยูไนเต็ด, อาร์มี ยูไนเต็ด, ทีโอที เอสซี, บางกอกกล๊าส เอฟซี และ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี โดยเฉพาะเกมเยือน “กระต่ายแก้ว” ของ “โค้ชแต๊ก” อรรถพล ปุษปาคม อดีตกุนซือที่รู้ไส้รู้พุง ที่แทบกระอักกว่าจะเอาตัวรอดออกมาพร้อมผลเสมอได้ แต่เกมสำคัญจริงๆอยู่ที่การบุกไปกำราบ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด 2-1 และกลับมายันเจ๊า 1-1 ทำให้เฮดทูเฮดเหนือกว่าคู่ปรับแย่งแชมป์
ถึงกระนั้นบุรีรัมย์ก็ยังปรับตัวได้รวดเร็ว เกมรุกที่กระหน่ำไป 71 ตุง (ก่อนเกมสุดท้าย) แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดได้อย่างดี ซึ่งนอกจากแข้งนอกที่ดาหน้ากันยิงมาแล้ว เครดิตสำคัญต้องยกให้ผู้เล่นไทยที่เป็นแก่นของทีมอย่างเต็มตัว สุเชาว์ นุชนุ่ม, จิรวัฒน์ มัครมย์, จักรพันธ์ แก้วพรม และ อนาวิน จูจีน คอยสลับสับเปลี่ยนขับเคลื่อนแดนกลางให้กับทีม นอกจากนั้นยังมีไม้ตายใหม่คือลูกตั้งเตะ ที่ได้อีซ้ายชั่งทองของ “เจ้าอุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน รับอาสาเหมาทั้งฟรีคิกและเปิดมุม หยอดเข้าจุดเกรงใจจนเปลี่ยนเป็นสกอร์มานักต่อนัก
ขณะที่หัวใจของแนวรับที่เสียไปเพียง 22 ประตู (ก่อนเกมสุดท้าย) คงหนีไม่พ้น ออสมาร์ อิบาเนซ ปราการเลือดสแปนิชที่ฝีเกือกเกินระดับไทยลีกไปแล้ว ผนึกกำลังกับ ประทุม ชูทอง และ ธนะศักดิ์ ศรีใส ได้อย่างเข้าขา และต้องบอกว่าผู้เล่นไทยที่กล่าวมานั้นจะยังเป็นแกนหลักของทีมในฤดูกาลหน้าต่อไปแน่นอน ส่วนผู้เล่นต่างชาติก็คงคอนเซ็ปต์เดิม กวาดต้อนเข้ามาเพื่อหาผู้ที่เหมาะสมที่สุด ส่วนใครชั้นไม่ถึงก็ต้องถูกเด้งออกไป
จึงเป็นที่น่าคิดว่าฤดูกาลหน้าต่อให้เพิ่มเป็น 20 ทีม นอกจาก “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดการแล้วก็คงไม่มีทีมใดที่มีศักยภาพพอที่จะหยุดยั้งความร้อนแรงของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้แน่นอน