ASTV ผู้จัดการรายวัน – ศึกลูกหนังโตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก 2013 เหลือเพียงแค่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด จ่าฝูงและรองจ่าฝูงที่ได้เบียดลุ้นแชมป์ในบั้นปลาย 3 นัดสุดท้ายของซีซัน ซึ่งถือเป็นช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มมีโอกาสผลิกผันได้ทุกเมื่อ จึงต้องจับตามองแบบนัดต่อนัด โดยเฉพาะแมตช์ต่อไปสุดสัปดาห์นี้ที่ “กิเลนผยอง” ต้องเปิดบ้านรับทีมฟอร์มแรงอย่าง บางกอกกล๊าส เอฟซี เพราะหากแชมป์เก่าพลาดท่า ขณะเดียวกัน “ปราสาทสายฟ้า” เก็บชัยชนะได้ แชมป์จะตกเป็นของทัพเซราะกราวทันที
การแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก 2 ฤดูกาลก่อนหน้านี้รู้ตัวผู้ชนะก่อนจบฤดูกาลล่วงหน้าถึง 4 นัด โดยปี 2011 บุรีรัมย์ พีอีเอ ลงเล่นนัดที่ 30 บุกไปเอาชนะ อาร์มี่ ยูไนเต็ด 3-1 บวกเพิ่มเป็น 75 คะแนน ทิ้งขาด ชลบุรี เอฟซี ที่มีเพียง 62 แต้ม คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ ถัดมาปี 2012 เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด สามารถเปิดบ้านเฉือน ชัยนาท เอฟซี 1-0 เก็บเพิ่มเป็น 77 คะแนน ทิ้งห่างฉลามชล ที่มี 63 แต้ม ได้เช่นกัน
ส่วนฤดูกาลนี้ บุรีรัมย์ ทำท่าปิดจ๊อบได้เร็วกว่ากำหนด หลังโกยแต้มทิ้งห่าง เอสซีจี เมืองทองฯ อยู่ 5 แต้ม แต่สุดท้ายพลาดท่าสะดุด เกมที่แล้วทำได้เพียงบุกไปเสมอ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี 2-2 ทำให้แต้มรวมตอนนี้มี 69 คะแนน ขณะที่ “กิเลนผยอง” ยกพลไปปราบ โอสถสภา เอ็ม 150 สระบุรี 3-1 จากแฮตทริกของ “เจ้ามุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา บวกเพิ่มเป็น 66 คะแนน ลดช่องว่างเหลือเพียงแค่ 3 แต้ม โดยทั้งคู่ยังมีเกมในมืออีกทีมละ 3 นัด จึงยังต้องลุ้นกันต่อไป ส่วนอันดับ 3 อย่าง ชลบุรี มีเพียง 56 คะแนน หมดโอกาสลุ้นแชมป์ไปแล้ว
โดยโปรแกรมที่เหลือของทั้งคู่เกมต่อไป “ปราสาทสายฟ้า” จะเปิดรังพบกับ พัทยา ยูไนเต็ด ต่อด้วยออกไปเยือน แบงค็อก ยูไนเต็ด และปิดท้ายในบ้านกับ ทีโอที เอสซี ซึ่งถ้าดูแค่ชื่อชั้นของคู่ต่อสู้เหมือนจะเจองานสบาย แต่หากเจาะลึกเข้าไปจะพบว่าไม่ใช่ของง่ายอย่างที่คิด เพราะทุกทีมกำลังดิ้นหนีตายกันสุดชีวิต อันดับ 16, 13 และ 14 ตามลำดับ ไม่ว่าอย่างไรก็สู้ขาดใจจนนัดสุดท้ายแน่นอน โดยเฉพาะ “ฮัลโหล” ที่เลกแรกสามารถยันเจ๊าในบ้านได้ 0-0 มาแล้ว
ผิดกับ “กิเลนผยอง” ที่แม้จะเจอทีมแข็งกว่าด้วยการรับมือ บางกอกกล๊าส เอฟซี (อันดับ 5) ต่อด้วยบุกไปเยือน บีอีซี เทโรศาสน (อันดับ 7) นัดสุดท้ายเฝ้ารังเจอ ชัยนาท เอฟซี (อันดับ 10) แต่ทุกทีมล้วนอยู่กลางตารางแทบไม่มีแรงจูงใจอะไรให้ลุ้นนอกจากไต่อันดับให้ดีที่สุด จะมีเพียง “บีจี” ที่กำลังฟอร์มแรงและเคยยัดเยียดความปราชัยให้ 1-0 เป็นเพียงทีมเดียวที่ดูจะเป็นตัวแปร ที่สำคัญเกมที่จะถึงนี้ “กระต่ายแก้ว” มาแบบฟูลทีมได้ “ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย กับ นริศ ทวีกุล อุทธรณ์โทษใบเหลืองรอดแบนมาช่วยทีมได้ ซึ่งหากแชมป์ 3 สมัยพลาดท่า แล้วผลอีกคู่ที่สนามไอ-โมบาย สเตเดียม เป็นเจ้าถิ่นที่ชนะได้ ถ้วยแชมป์จะไปตั้งโชว์ที่ จ.บุรีรัมย์ ทันที เพราะ “เซราะกราว” กุมความได้เปรียบเรื่องเฮดทูเฮดที่เหนือกว่า จากการบุกไปกำราบได้ในเลกแรก 2-1 ก่อนเปิดรังยันเจ๊าในเลกที่สอง 1-1
เมื่อเปรียบเรื่องขุมกำลัง บุรีรัมย์ ดูเป็นรองอยู่บ้าง เพราะขาดตัวหลักอย่าง ฮาเวียร์ ปาติโญ, ธนะศักดิ์ ศรีใส และ อดิศักดิ์ ไกรษร ที่มีอาการบาดเจ็บคาดว่าจะชวดลงสนามในอีก 3 เกมที่เหลือค่อนข้างแน่ รวมถึงยังต้องเช็คอาการของ สุเชาว์ นุชนุ่ม, สุรีย์ สุขะ, จักรพันธ์ แก้วพรม และ ชาริล ชัปปุยส์ ที่ขอถอนตัวจากทีมชาติอีกด้วย แต่ทั้งนี้ อเลฮานโดร การ์เซีย กุนซือชาวสเปน ยังมี คาร์เมโล กอนซาเลซ ดาวซัลโว 22 ประตูเป็นตัวชูโรงร่วมกับ ออสมาร์ อิบาเนซ และเหล่าแข้งไทยอย่าง อนาวิน จูจีน, จิรวัฒน์ มัครมย์ และ ธีราทร บุญมาทัน
ฟาก เรเน เดอซาเยียร์ เทรนเนอร์เบลเยียมของ “กิเลนผยอง” ขาดแค่ “ตอง” กวิน ธรรมสัจจานันท์ นายด่านมือ 1 เพียงคนเดียว แต่ วิษณุศักดิ์ แก้วเรือง อะไหล่สำรองก็ทำหน้าที่ได้ดีไม่แพ้กัน ส่วนที่เหลือฟูลทีมเกมต่อไปได้ ดานโญ เซียกา กับ พิชิตพงษ์ เฉยฉิว รอดแบนกลับมาผนึกแดนกลางร่วมกับ มาริโอ ยูรอฟสกี โดยมี ปัก ซุน ควาน, เอดิวันโด เฮอร์โมซา และ ชัยณรงค์ ทาทอง เป็นก๊อกสองคอยสนับสนุน แต่ยังต้องเช็คความฟิตของ ธีรศิลป์ ที่ยิงไป 14 ประตู ว่าจะล้าจากเกมทีมชาติมาหรือไม่
ซึ่งช่วงวัดใจทั้งสองทีมจะลงเล่นวันเดียวกันทั้ง 3 แมตช์ คือวันที่ 20 ตุลาคม, 27 ตุลาคม และ 3 พฤศจิกายน จึงต้องจับตาดูสถานการณ์แบบนัดต่อนัดเ พราะ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ขอแค่เก็บชัยได้ 2 เกมก็จะได้ถ้วยไปนอนกอดทันที โดยไม่ต้องสนใจผลคู่อื่น ก็ขึ้นอยู่กับว่า เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด จะสามารถยื้อได้นานเพียงใดเพื่อสร้างปาฏิหาริย์ โดยมีแชมป์ลีกสูงสุดและโควตา เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก 2014 รอบแบ่งกลุ่มเป็นเดิมพัน