คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
ปัญหาวุ่นวายเรื่องการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ยังเรื้อรังไม่จบสิ้น และมีทีท่าว่าจะต้องเริ่มนับ 1 ใหม่ หลังจากที่มีหลายฝ่ายตั้งข้อครหาพร้อมยื่นหนังสือคัดค้านในชัยชนะของ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี ที่ได้รับเสียงโหวตเหนือผู้ท้าชิงอย่าง “บิ๊กก๊อง” วิรัช ชาญพานิชย์ ด้วยคะแนน 42-28 (บัตรเสีย 1 ใบ และ ไม่ลงคะแนน 1 ใบ) ขึ้นแท่นรั้งบัลลังก์นายใหญ่ลูกหนังไทยเป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกัน
ก่อนหน้านี้ วรวีร์ พยายามทุกวิถีทางที่จะแก้ไขข้อบังคับของสมาคมฟุตบอลฯให้เป็นไปตามธรรมนูญมาตรฐานของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟา) โดยมี 72 ทีมเป็นผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งนายกสมาคมฯ พร้อมย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นสัดส่วนที่เหมาะสม เพราะทุกทีมมีส่วนได้ส่วนเสียและลงทุนลงแรงทำทีมโดยตรง จึงควรเป็นผู้กำหนดอนาคตลูกหนังไทยตัวจริง ไม่ใช่ “สโมสรผี” ที่ลงเตะปีละแค่ 2-3 นัด แต่มีสิทธิ์มาลงคะแนนเหมือนก่อน
แต่พอถึงวันจริงทุกอย่างกลับลงเอยอีหรอบเดิม เปลี่ยนจากสโมสรผีมาเป็น “คนผี” ที่บางคนปีๆนึงแทบไม่เคยเดินทางไปเหยียบรังเหย้าของทีมเลย หรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสื้อทีมสีอะไร แต่กลับมีชื่อเป็นตัวแทนมาลงคะแนน
โดยปัญหาเหล่านี้มี องอาจ ก่อสินค้า เลขาธิการสมาคมฯเป็นฟันเฟืองสำคัญ เริ่มตั้งแต่ที่เจ้าตัวทำการส่งสำเนาใบมอบอำนาจให้กับแต่ละสโมสร ซึ่งเป็นการทับซ้อนกับที่ทางคณะกรรมการจัดการเลือกตั้งฯ หรือ “กกต.บอล” จัดส่ง จึงทำให้บางทีมมีผู้ยื่นสิทธิ์ซ้อนกัน 2 ราย และที่สำคัญ “บิ๊กเปี๊ยก” ยังสวมหมวกอีก 2 ใบ คือเลขาฯกกต.บอลและผู้ลงสมัครกรรมการบริหารฝั่งบังยีอีกด้วย ทำให้เจ้าตัวรู้ทุกข้อมูลว่าแต่ละทีมจะส่งใครมาโหวต
ซึ่งก่อนการเลือกตั้ง 1 วันทุกอย่างเหมือนจะคลี่คลายเมื่อกกต.บอลฟันสิทธิ์ทีมที่เป็นปัญหาเรียบร้อย แต่คล้อยหลังเพียงคืนเดียวก่อนการเลือกตั้งไม่กี่ชั่วโมงจู่ๆก็มีการผุดคณะอุทธรณ์ชุดใหม่ที่มีการเปลี่ยนตัวคณะทำงานขึ้นอย่างกระทันหัน โดยมี “บิ๊กเปี๊ยก” ลงนามรับรอง ซึ่งถือเป็นการแต่งตั้งโดยมิชอบเพราะเกินขีดอำนาจหน้าที่
สุดท้ายก็ได้มีมติกลับสิทธิ์ 5 ทีมที่มีปัญหาซึ่งว่ากันว่าเป็นฐานเสียงของ “บิ๊กก๊อง” ให้เป็นของผู้ลงคะแนนชุดใหม่ที่ว่ากันอีกว่าเป็นฝั่งสนับสนุน “บังยี” ตามรายชื่อที่ถูกเผยตามหน้าสื่อ อาทิ ก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.พรรเพื่อไทย(พังงา เอฟซี) ที่ยอมรับเองว่าไม่รู้เรื่องฟุตบอลเท่าไหร่ แต่ถูกเชิญให้มาก็มา จึงส่งผลให้ผู้เสียสิทธิ์ออกมาโวยว่าตนโดนแย่งสิทธิ์แบบหน้าด้านๆหลายทีมที่ประธานสโมสรเดินทางมาด้วยตนเองแต่ดันไม่สามารถเข้าห้องโหวตได้
โดยภายหลัง ธวัชชัย ช่องดารากุล 1 ในคณะอุทธรณ์ฝั่งบิ๊กก๊อง ได้ออกมาแฉว่าในวันที่มีการพิจารณานั้น บางสโมสรไม่มีตัวแทนมายื่นร้องเรียน หรือมีเอกสารเพียง2-3 แผ่นเท่านั้น และทางกรรมการอีก 2 คนที่ฝั่งวรวีร์เป็นผู้เลือกก็ไม่ได้ตรวจสอบหาหลักฐานเพิ่ม แต่กลับให้รีบพิจารณาไปเลย จึงเป็นการขัดข้อบังคับชัดเจน
อีกทั้งยังไม่รวมถึงกรณีที่เหล่าสภากรรมการนำโดยตัว “บังยี” เองที่ตบเท้ามาลงคะแนนซึ่งขัดต่อข้อบังคับชัดเจนว่าไม่มีสิทธิ์ หรือผู้ที่สมควรจะเป็นกลางอย่าง ประธานผู้ตัดสิน และ ประธานศูนย์ภูมิภาค แต่กลับไปมีชื่อเป็นตัวแทนของสโมสร จึงนำมาซึ่งการตั้งแง่ว่าพวกเขาเข้าไปมีผลประโยชน์อะไรกับทีมเหล่านั้น
สิ่งเหล่านี้เป็นการแสดงถึงที่มาและความสง่างามของการเลือกตั้งครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี “ผู้แทนผี” กลายเป็นจุดพลิกเกมตัวสำคัญที่มีการหักเหลี่ยมแย่งชิงกันจนวินาทีสุดท้าย จากนี้สโมสรที่ถูกสวมสิทธิ์ก็เดินหน้าฟ้องร้องในชั้นศาลต่อไป ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับการกีฬาแห่งประเทศไทย(กกท.) และ กรมการปกครอง ว่าจะกล้ารับรองผลการเลือกตั้งอัปยศนี้หรือไม่ หรือแฟนบอลไทยจะต้องทนอยู่ในกลียุคอีก 2ปี
ปัญหาวุ่นวายเรื่องการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ยังเรื้อรังไม่จบสิ้น และมีทีท่าว่าจะต้องเริ่มนับ 1 ใหม่ หลังจากที่มีหลายฝ่ายตั้งข้อครหาพร้อมยื่นหนังสือคัดค้านในชัยชนะของ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี ที่ได้รับเสียงโหวตเหนือผู้ท้าชิงอย่าง “บิ๊กก๊อง” วิรัช ชาญพานิชย์ ด้วยคะแนน 42-28 (บัตรเสีย 1 ใบ และ ไม่ลงคะแนน 1 ใบ) ขึ้นแท่นรั้งบัลลังก์นายใหญ่ลูกหนังไทยเป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกัน
ก่อนหน้านี้ วรวีร์ พยายามทุกวิถีทางที่จะแก้ไขข้อบังคับของสมาคมฟุตบอลฯให้เป็นไปตามธรรมนูญมาตรฐานของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟา) โดยมี 72 ทีมเป็นผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งนายกสมาคมฯ พร้อมย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นสัดส่วนที่เหมาะสม เพราะทุกทีมมีส่วนได้ส่วนเสียและลงทุนลงแรงทำทีมโดยตรง จึงควรเป็นผู้กำหนดอนาคตลูกหนังไทยตัวจริง ไม่ใช่ “สโมสรผี” ที่ลงเตะปีละแค่ 2-3 นัด แต่มีสิทธิ์มาลงคะแนนเหมือนก่อน
แต่พอถึงวันจริงทุกอย่างกลับลงเอยอีหรอบเดิม เปลี่ยนจากสโมสรผีมาเป็น “คนผี” ที่บางคนปีๆนึงแทบไม่เคยเดินทางไปเหยียบรังเหย้าของทีมเลย หรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสื้อทีมสีอะไร แต่กลับมีชื่อเป็นตัวแทนมาลงคะแนน
โดยปัญหาเหล่านี้มี องอาจ ก่อสินค้า เลขาธิการสมาคมฯเป็นฟันเฟืองสำคัญ เริ่มตั้งแต่ที่เจ้าตัวทำการส่งสำเนาใบมอบอำนาจให้กับแต่ละสโมสร ซึ่งเป็นการทับซ้อนกับที่ทางคณะกรรมการจัดการเลือกตั้งฯ หรือ “กกต.บอล” จัดส่ง จึงทำให้บางทีมมีผู้ยื่นสิทธิ์ซ้อนกัน 2 ราย และที่สำคัญ “บิ๊กเปี๊ยก” ยังสวมหมวกอีก 2 ใบ คือเลขาฯกกต.บอลและผู้ลงสมัครกรรมการบริหารฝั่งบังยีอีกด้วย ทำให้เจ้าตัวรู้ทุกข้อมูลว่าแต่ละทีมจะส่งใครมาโหวต
ซึ่งก่อนการเลือกตั้ง 1 วันทุกอย่างเหมือนจะคลี่คลายเมื่อกกต.บอลฟันสิทธิ์ทีมที่เป็นปัญหาเรียบร้อย แต่คล้อยหลังเพียงคืนเดียวก่อนการเลือกตั้งไม่กี่ชั่วโมงจู่ๆก็มีการผุดคณะอุทธรณ์ชุดใหม่ที่มีการเปลี่ยนตัวคณะทำงานขึ้นอย่างกระทันหัน โดยมี “บิ๊กเปี๊ยก” ลงนามรับรอง ซึ่งถือเป็นการแต่งตั้งโดยมิชอบเพราะเกินขีดอำนาจหน้าที่
สุดท้ายก็ได้มีมติกลับสิทธิ์ 5 ทีมที่มีปัญหาซึ่งว่ากันว่าเป็นฐานเสียงของ “บิ๊กก๊อง” ให้เป็นของผู้ลงคะแนนชุดใหม่ที่ว่ากันอีกว่าเป็นฝั่งสนับสนุน “บังยี” ตามรายชื่อที่ถูกเผยตามหน้าสื่อ อาทิ ก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.พรรเพื่อไทย(พังงา เอฟซี) ที่ยอมรับเองว่าไม่รู้เรื่องฟุตบอลเท่าไหร่ แต่ถูกเชิญให้มาก็มา จึงส่งผลให้ผู้เสียสิทธิ์ออกมาโวยว่าตนโดนแย่งสิทธิ์แบบหน้าด้านๆหลายทีมที่ประธานสโมสรเดินทางมาด้วยตนเองแต่ดันไม่สามารถเข้าห้องโหวตได้
โดยภายหลัง ธวัชชัย ช่องดารากุล 1 ในคณะอุทธรณ์ฝั่งบิ๊กก๊อง ได้ออกมาแฉว่าในวันที่มีการพิจารณานั้น บางสโมสรไม่มีตัวแทนมายื่นร้องเรียน หรือมีเอกสารเพียง2-3 แผ่นเท่านั้น และทางกรรมการอีก 2 คนที่ฝั่งวรวีร์เป็นผู้เลือกก็ไม่ได้ตรวจสอบหาหลักฐานเพิ่ม แต่กลับให้รีบพิจารณาไปเลย จึงเป็นการขัดข้อบังคับชัดเจน
อีกทั้งยังไม่รวมถึงกรณีที่เหล่าสภากรรมการนำโดยตัว “บังยี” เองที่ตบเท้ามาลงคะแนนซึ่งขัดต่อข้อบังคับชัดเจนว่าไม่มีสิทธิ์ หรือผู้ที่สมควรจะเป็นกลางอย่าง ประธานผู้ตัดสิน และ ประธานศูนย์ภูมิภาค แต่กลับไปมีชื่อเป็นตัวแทนของสโมสร จึงนำมาซึ่งการตั้งแง่ว่าพวกเขาเข้าไปมีผลประโยชน์อะไรกับทีมเหล่านั้น
สิ่งเหล่านี้เป็นการแสดงถึงที่มาและความสง่างามของการเลือกตั้งครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี “ผู้แทนผี” กลายเป็นจุดพลิกเกมตัวสำคัญที่มีการหักเหลี่ยมแย่งชิงกันจนวินาทีสุดท้าย จากนี้สโมสรที่ถูกสวมสิทธิ์ก็เดินหน้าฟ้องร้องในชั้นศาลต่อไป ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับการกีฬาแห่งประเทศไทย(กกท.) และ กรมการปกครอง ว่าจะกล้ารับรองผลการเลือกตั้งอัปยศนี้หรือไม่ หรือแฟนบอลไทยจะต้องทนอยู่ในกลียุคอีก 2ปี