เอเยนซี - เข้าสู่ช่วง 100 เมตรสุดท้ายของศึกฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก โซนยุโรป ที่เหลือโปรแกรมแค่ 2 นัดคือ วันศุกร์ที่ 11 และอังคารที่ 15 ตุลาคมนี้ ก็จะทราบโฉมหน้า 9 ทีมเข้ารอบที่ประเทศบราซิลแบบอัตโนมัติในตำแหน่งแชมป์กลุ่มอย่างเป็นทางการ แต่ที่น่าสนใจก็คือพวกอันดับ 2 ที่ดีที่สุด 8 ทีมจะต้องมาเพลย์ออฟ 4 คู่แบบเหย้า-เยือนชี้ชะตากัน ซึ่งล้วนอยากจะหลีกเลี่ยง เพราะจับพลัดจับผลูชนกระดูกชิ้นโตก็อาจจะต้องอกหักก็เป็นได้
สถานการณ์ตอนนี้ชาติที่ตีตั๋วรอบสุดท้ายไปแล้วมี อิตาลี และ เนเธอร์แลนด์ ขณะที่มองถึงความเป็นไปได้ที่ไม่น่าจะพลาดได้แก่ เบลเยียม (ทิ้ง 5 แต้ม), เยอรมนี (ทิ้ง 5 แต้ม) และ สวิตเซอร์แลนด์ (ทิ้ง 6 แต้ม) ทั้งหมดเหลือโปรแกรม 2 นัดเท่ากัน อีกหนึ่งที่ก็น่าจะหนีไม่พ้น “แชมป์เก่า” สเปน แม้มี 14 แต้มเท่ากับ ฝรั่งเศส แต่เหลือ 2 นัดด้าน “ตราไก่” เหลือนัดเดียว
ดังนั้นความน่าสนใจจึงไปอยู่ที่ตำแหน่งอันดับ 2 ที่ดีที่สุด 8 ทีมจากทั้งหมด 9 กลุ่มจึงต้องมีการจัดมินิลีกขึ้น แม้จะมีบางกลุ่มมีทีมมากกว่าทำให้ต้องตัดแต้มที่ได้จากทีมอันดับบ๊วยของกลุ่มออกไป ตอนนี้ กรีซ นำอยู่ตามด้วย ฝรั่งเศส, ไอซ์แลนด์, ยูเครน, โปรตุเกส, สวีเดน, โครเอเชีย, ฮังการี และ บัลแกเรีย
ดิดิเยร์ เดส์ชองป์ส กุนซือ ฝรั่งเศส ทำใจแล้วว่าต้องเพลย์ออฟ เพราะ สเปน เล่นในบ้าน 2 นัดพบ เบลารุส และ จอร์เจีย พลาดยากมาก จึงหวังว่าจะเก็บชัยในเกมอุ่นเครื่องกับ ออสเตรเลีย และคัดฟุตบอลโลกนัดสุดท้ายกับ ฟินแลนด์ เพื่อขยับอันดับโลกให้ได้มากที่สุดจาก 25 เนื่องจากมีผลกับตำแหน่งทีมวางในการจับสลาก อีกทีมคือ โปรตุเกส ทิ้ง 5 แต้มเหลือ 2 นัดตัดกับ อิสราเอล และ ลักเซมเบิร์ก ก็ไม่น่าพลาด ตามด้วย โครเอเชีย กับ กรีซ ที่แต้มขาดไปแล้ว เท่ากับตอนนี้ต้องการอีกแค่ 4 ทีมจากทั้งหมด 5 กลุ่ม
กลุ่มที่น่าสนใจสุดคือ อังกฤษ (16 แต้ม), ยูเครน (15 แต้ม), มอนเตเนโกร (15 แต้ม) และ โปแลนด์ (13 แต้ม) เหลือ 2 นัดเท่ากันหมด “สิงโตคำราม” ของกุนซือ รอย ฮอดจ์สัน ฟอร์มเยี่ยมยังไม่แพ้ใครเพียงแค่ว่าเสมอเยอะไปหน่อยถึง 4 นัด โดยจะได้เล่นในบ้านทั้ง 2 นัดพบ มอนเตเนโก วันศุกร์ตามด้วย โปแลนด์ อีก 4 วันให้หลัง แน่นอนว่ามีผลต่อการเข้ารอบในตำแหน่งแชมป์กลุ่ม
หาก อังกฤษ ต้องไปเพลย์ออฟหรือตกรอบรับรองว่าสะเทือนอย่างแน่นอน เพราะฟุตบอลโลก 2010 ก็จอดแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ขณะที่ ยูโร 2008 ไม่ได้เล่นรอบสุดท้าย ส่วน ยูโร 2012 ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ดังนั้นจึงต้องเรียกขุมกำลังชุดใหญ่นำโดย เวย์น รูนีย์ กองหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่คาดว่าจะออกสตาร์ทพร้อมกับ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ ของ ลิเวอร์พูล ที่กำลังร้อนแรงซัดไปแล้ว 6 ประตูใน พรีเมียร์ ลีก โดยมี ริคกี แลมเบิร์ต จากเซาแธมป์ตัน เป็นทีเด็ดหลังติดธง 3 นัดซัดไปแล้ว 2 ประตู
แต่ปัญหาของ อังกฤษ อยู่ที่แดนกลางมากกว่า เพราะ สตีเวน เจอร์ราร์ด, แฟรงค์ แลมพาร์ด และ ไมเคิล คาร์ริค เล่นร่วมกันอย่างไรก็ไม่กลมกล่อมมีเพียง แจ๊ค วิลเชียร์ จาก อาร์เซนอล เท่านั้นที่น่าจะได้ออกสตาร์ทแน่นอน ขณะที่ ธีโอ วัลคอตต์ ปีกร่วมค่ายได้รับบาดเจ็บ รวมถึง แอชลีย์ โคล แบ็กซ้ายประสบการณ์สูงของ เชลซี
แน่นอนว่าไม่มีใครอยากจะเพลย์ออฟพบกับ ฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ตราไก่” ถ้าย้อนไปศึกฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือกก็ต้องมาวัดดวงชี้ชะตากัน 8 ทีม และพบกับ ไอร์แลนด์ ก่อนที่จะมีประเด็นใหญ่โตเมื่อนัด 2 เธียร์รี อองรี อดีตกองหน้า อาร์เซนอล ใช้มือทำแฮนด์บอลช่วยตีเสมอ 1-1 ช่วงต่อเวลาพิเศษ ทำให้ตีตั๋วไป แอฟริกาใต้ ด้วยประตูรวม 2-1
ส่วนชาติอื่นก็ถือว่ามีดีกรีไม่แพ้กันทั้ง โปรตุเกส อันดับโลกที่ 11 นำโดยแนวรุกอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด, โครเอเชีย (10) แม้ระยะหลังจะไม่โดดเด่นแต่ก็เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูโร 2008 และในอดีตเคยคว้าอันดับ 3 ฟุตบอลโลก 1998 ด้วย ด้าน สวีเดน (22) ยักษ์หลับหลังสร้างชื่อคว้าที่ 3 ฟุตบอลโลก 1994 ดีที่สุดก็คือรอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูโร 2004 จึงถือว่าเป็นเพลย์ออฟที่ค่อนข้างมหาหินพอสมควรชนิดที่ว่าสามารถชี้เป็นชี้ตายได้เลยที่สำคัญบอล 2 นัดเหย้า-เยือนแบบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้