คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย แมวดำ
ไม่ทราบว่ายังจำกันได้หรือเปล่า ว่าช่วงปี พ.ศ.2550 เกิดข่าวคราวครึกโครมสั่นสะเทือนวงการกีฬาโลก และแวดวงการเมืองไทย เมื่อมีนักการเมืองคนดังระดมทุนทรัพย์ทั้งๆ ที่โดนอายัดทรัพย์จากการถูกดำเนินคดีทุจริตทางการเมือง ไปกว้านซื้อกิจการของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี โดยกุมเอาหุ้นกว่า 75 เปอร์เซ็นต์เอาไว้ ตอนนั้นจำได้ว่าท่านนักการเมืองใหญ่คนนั้นถึงกับยอมเปลี่ยนนิคเนมตัวเองเป็น “แฟรงค์ ชินาตรา” เพื่อให้เหล่าบรรดากองเชียร์ชาวอิงลิชเรียกขานกันได้อย่างคล่องปาก
ขณะที่เหล่าบรรดาผู้คนในแวดวงกีฬาไทยต่างก็แสดงความยินดีปรีดากันถ้วนทั่ว บอกว่านี่แหละจะเป็นมิติใหม่ของวงการฟุตบอลไทย ตอนนั้นถึงขนาดมีการคัดเอานักฟุตบอลระดับดาวรุ่งของวงการ 3 คนไปฝึกฝีเท้ากับทีม “เรือใบสีฟ้า” ก่อนที่ทั้ง 3 จะกลับเมืองไทย พร้อมกับประสบการณ์การฝึกซ้อมกับทีมสำรองอันเต็มเปี่ยมเพียบแปร้ แต่ไม่มีโอกาสลงสู่สนามแม้แต่นัดเดียวในทีมชุดใหญ่
ทว่าการบริหารงานที่นอกจากจะเขียมเงินทองจนถูกสื่อฝรั่งค่อนขอดว่า “ไม่จริงใจ” ในการพัฒนาทีมเท่าที่ควร รวมถึงแฟนบอลท้องถิ่นก็เริ่มไม่พอใจ ก่อนที่ “มิสเตอร์แฟรงค์” จะผ่องถ่ายขายหุ้นสโมสรต่อให้กลุ่มทุนใหญ่จากดูไบในราคากำไรมหาศาลตามข่าว จากทีมอันดับท้ายๆ หนีตายกลายมาเป็นทีมลุ้นแชมป์ลีกในปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงความรักฟุตบอลของคนบางคนได้เป็นอย่างดี
เรื่องราวเหล่านี้เหมือนว่าจะกลายเป็นคำเล่าขานถึงอดีต แต่กลับมีข่าวจากคนอย่าง พินิจ งามพริ้ง คนจริงอีกคนที่อยู่ตรงข้ามกับ วรวีร์ มะกูดี ว่างานนี้มีนายใหญ่ตราดูไบ เรียกบรรดา ส.ส.สังกัดพรรคใหญ่ไปหารือว่าเลือกตั้งสมาคมฟุตบอลฯ ควรเลือกคนเก่าเข้าทำงาน แน่นอนว่าวงการฟุตบอลบ้านเรายังอยู่ภายใต้อุ้งเท้านักการเมืองท้องถิ่นจำนวนมาก ไม่เชื่อลองไปพลิกรายชื่อนักการเมืองพรรคใหญ่ที่ดำรงตำแหน่งประธานสโมสรฟุตบอลต่างๆ อันมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งนายกสมาคมดูแล้ว น่าหนักใจจริงๆ
อีกสิ่งที่ต้องจับตาในสถานการณ์นี้คือการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินในไทยพรีเมียร์ลีก ที่ต่างแสดงให้เห็นถึงอาการแปลกๆ อย่างเห็นได้ชัด หากไม่ตาบอดหูหนวกจะเห็นการทำหน้าที่หลายครั้งออกจะค้านสายตาแฟนฟุตบอล
โดยเฉพาะภายหลังการประกาศเปิดตัวทีมงานของกลุ่มผู้บริหารหน้าเดิม ด้วยการดึงเหล่าบรรดาทีมต่างๆ ในไทยพรีเมียร์ลีก, ดิวิชัน 1 และ ลีกภูมิภาค เข้ามาสนับสนุน แล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ยินเสียงบ่นเรื่องผู้ตัดสินจากทีมเหล่านั้นอีกเลย น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าการเลือกตั้งวันที่ 17 ตุลาคมนี้ ผลจะออกมาเป็นเช่นไร ซึ่งส่วนตัวหลังกางโผดูแล้วน่าจะสูสีพอสมควรทีเดียว ที่สำคัญหากนายใหญ่ออกโรงขนาดนี้แล้วยังแพ้บารมีลูกน้องเก่าอย่าง เนวิน ชิดชอบ อีกก็ถือว่าน่าขายหน้าแล้วหละครับ
ไม่ทราบว่ายังจำกันได้หรือเปล่า ว่าช่วงปี พ.ศ.2550 เกิดข่าวคราวครึกโครมสั่นสะเทือนวงการกีฬาโลก และแวดวงการเมืองไทย เมื่อมีนักการเมืองคนดังระดมทุนทรัพย์ทั้งๆ ที่โดนอายัดทรัพย์จากการถูกดำเนินคดีทุจริตทางการเมือง ไปกว้านซื้อกิจการของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี โดยกุมเอาหุ้นกว่า 75 เปอร์เซ็นต์เอาไว้ ตอนนั้นจำได้ว่าท่านนักการเมืองใหญ่คนนั้นถึงกับยอมเปลี่ยนนิคเนมตัวเองเป็น “แฟรงค์ ชินาตรา” เพื่อให้เหล่าบรรดากองเชียร์ชาวอิงลิชเรียกขานกันได้อย่างคล่องปาก
ขณะที่เหล่าบรรดาผู้คนในแวดวงกีฬาไทยต่างก็แสดงความยินดีปรีดากันถ้วนทั่ว บอกว่านี่แหละจะเป็นมิติใหม่ของวงการฟุตบอลไทย ตอนนั้นถึงขนาดมีการคัดเอานักฟุตบอลระดับดาวรุ่งของวงการ 3 คนไปฝึกฝีเท้ากับทีม “เรือใบสีฟ้า” ก่อนที่ทั้ง 3 จะกลับเมืองไทย พร้อมกับประสบการณ์การฝึกซ้อมกับทีมสำรองอันเต็มเปี่ยมเพียบแปร้ แต่ไม่มีโอกาสลงสู่สนามแม้แต่นัดเดียวในทีมชุดใหญ่
ทว่าการบริหารงานที่นอกจากจะเขียมเงินทองจนถูกสื่อฝรั่งค่อนขอดว่า “ไม่จริงใจ” ในการพัฒนาทีมเท่าที่ควร รวมถึงแฟนบอลท้องถิ่นก็เริ่มไม่พอใจ ก่อนที่ “มิสเตอร์แฟรงค์” จะผ่องถ่ายขายหุ้นสโมสรต่อให้กลุ่มทุนใหญ่จากดูไบในราคากำไรมหาศาลตามข่าว จากทีมอันดับท้ายๆ หนีตายกลายมาเป็นทีมลุ้นแชมป์ลีกในปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงความรักฟุตบอลของคนบางคนได้เป็นอย่างดี
เรื่องราวเหล่านี้เหมือนว่าจะกลายเป็นคำเล่าขานถึงอดีต แต่กลับมีข่าวจากคนอย่าง พินิจ งามพริ้ง คนจริงอีกคนที่อยู่ตรงข้ามกับ วรวีร์ มะกูดี ว่างานนี้มีนายใหญ่ตราดูไบ เรียกบรรดา ส.ส.สังกัดพรรคใหญ่ไปหารือว่าเลือกตั้งสมาคมฟุตบอลฯ ควรเลือกคนเก่าเข้าทำงาน แน่นอนว่าวงการฟุตบอลบ้านเรายังอยู่ภายใต้อุ้งเท้านักการเมืองท้องถิ่นจำนวนมาก ไม่เชื่อลองไปพลิกรายชื่อนักการเมืองพรรคใหญ่ที่ดำรงตำแหน่งประธานสโมสรฟุตบอลต่างๆ อันมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งนายกสมาคมดูแล้ว น่าหนักใจจริงๆ
อีกสิ่งที่ต้องจับตาในสถานการณ์นี้คือการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินในไทยพรีเมียร์ลีก ที่ต่างแสดงให้เห็นถึงอาการแปลกๆ อย่างเห็นได้ชัด หากไม่ตาบอดหูหนวกจะเห็นการทำหน้าที่หลายครั้งออกจะค้านสายตาแฟนฟุตบอล
โดยเฉพาะภายหลังการประกาศเปิดตัวทีมงานของกลุ่มผู้บริหารหน้าเดิม ด้วยการดึงเหล่าบรรดาทีมต่างๆ ในไทยพรีเมียร์ลีก, ดิวิชัน 1 และ ลีกภูมิภาค เข้ามาสนับสนุน แล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ยินเสียงบ่นเรื่องผู้ตัดสินจากทีมเหล่านั้นอีกเลย น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าการเลือกตั้งวันที่ 17 ตุลาคมนี้ ผลจะออกมาเป็นเช่นไร ซึ่งส่วนตัวหลังกางโผดูแล้วน่าจะสูสีพอสมควรทีเดียว ที่สำคัญหากนายใหญ่ออกโรงขนาดนี้แล้วยังแพ้บารมีลูกน้องเก่าอย่าง เนวิน ชิดชอบ อีกก็ถือว่าน่าขายหน้าแล้วหละครับ
