“ทรูวิชั่นส์” ทุ่มงบ 1,800 ล้านบาท คว้าสิทธิ์การถ่ายทอดสดศึกลูกหนังไทยพรีเมียร์ลีก ต่อไปอีก 3 ฤดูกาล 2014-2015-2016 พร้อมตอกย้ำถึงความไม่โปร่งใสของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ภายใต้การนำของ นายวรวีร์ มะกูดี หลังจากมีกระแสวิจารณ์ถึงความคลุมเครือในหลายๆ เรื่องของการเปิดประมูล
เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมา ณ โรงแรมโกลเด้นทิวลิป ซอฟเฟอริน (พระราม 9) ได้มีการแถลงข่าวลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) ระหว่าง บมจ.สยามสปอร์ต ซินดิเคท ในฐานะผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย กับ บมจ.ทรูวิชั่นส์ ที่ได้รับมอบสิทธิ์เป็นผู้ถ่ายทอดสด การแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก, การแข่งขันฟุตบอลลีกวัน (ดิวิชัน 1), การแข่งขันฟุตบอลถ้วยเอฟเอ คัพ และฟุตบอลถ้วยลีก คัพ เป็นเวลา 3 ฤดูกาล ตั้งแต่ซีซัน 2014-2016 หลังทุ่มเงิน 1,800 ล้านบาท หรือตกซีซันละ 600 ล้านบาท เป็นผู้ชนะในการประมูลเหนือคู่แข่งอีก 3 รายก่อนหน้านี้
โดย นายวรวีร์ มะกูดี รักษาการนายกสมาคมฟุตบอลฯ ได้เปิดเผยว่าการลงนามครั้งนี้ยังไม่ใช่สัญญาเป็นเพียงบันทึกความเข้าใจร่วมกันเท่านั้น โดยรายได้ 80 เปอร์เซ็นต์ จะกลับคืนสู่สโมสร แบ่งเป็น ไทยพรีเมียร์ลีก 18 ทีม ได้ทีมละ 20 ล้านบาท, ลีกวัน (ดิวิชัน 1) 18 ทีม ได้ทีมละ 3 ล้านบาท และลีกภูมิภาค (ดิวิชัน 2) 84 ทีม ได้ทีมละ 1 ล้านบาท เบ็ดเสร็จประมาณ 498 ล้านบาทต่อปี โดยแบ่งการมอบเป็น 3 ช่วงคือ ก่อนเปิดฤดูกาลประมาณเดือนมกราคม, หลังจบเลกแรกประมาณเดือนพฤษภาคม และหลังจบฤดูกาลเดือนกันยายน
แต่ทั้งนี้การลงนามดังกล่าวยังคงมีข้อสงสัยและเสียงวิจารณ์จากหลายฝ่ายถึงความโปร่งใสในการเปิดประมูล เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่มีข่าวการเปิดรับผู้ประมูลในมุมกว้างมาก่อน โดย นายวรวีร์ ยืนยันว่าทุกอย่างโปร่งใสแน่นอน “การประมูลที่ผ่านมาทุกอย่างโปร่งใส ตอนแรกจะเริ่มตั้งแต่ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ได้เลื่อนวันเปิดรับประมูลอย่างเป็นทางการตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมแทน ซึ่งอาจจะไม่ได้มีการแจ้งตามสื่อมากนัก แต่ทั้งนี้เราได้แจ้งแก่ผู้ที่สนใจที่รู้กันอยู่แล้ว เพราะมีการติดต่อสอบถามเข้ามาโดยตลอดว่าจะประมูลเมื่อใด อีกทั้งยังเชิญ เซอร์ เดวิด ริชาร์ด ประธานพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นผู้ดำเนินการประมูล จึงถือว่าทุกอย่างเป็นไปตามมาตรฐานสากล”
ส่วนในเรื่องความเหมาะสมในการเปิดประมูลในช่วงเวลาที่ตนยังอยู่ระหว่างรักษาการนายกสมาคมฯนั้น “บังยี” ตอบว่า “การลงนามครั้งนี้ผมไม่ได้เป็นผู้เซ็น เป็นเรื่องระหว่าง สยามสปอร์ตที่ได้รับมอบหมายจาทางสมาคมฯ ซึ่งผมมองว่าทุกอย่างเป็นประโยชน์ของวงการฟุตบอล แม้ผมจะได้เป็นนายกสมาคมฯต่อหรือไม่ แต่สิ่งนี้ก็จะเป็นมรดกต่อไปแน่นอน”
พร้อมกันนี้ นายอดิศัย วารินทร์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.สยามสปอร์ต ซินดิเคท ได้กล่าวเสริมว่าเรื่องสิทธิประโยชน์ล่าช้าไม่ได้ “ที่จริงแล้วเราตั้งใจว่าจะเปิดการประมูลหลังมีการเลือกตั้งนายกสมาคมฯคนใหม่แล้วเสร็จ แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วมีท่าทีว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าเรื่องดังกล่าวจะได้ข้อยุติ ซึ่งการเลือกตั้งเป็นเรื่องของตัวบุคคล ไม่ใช่ส่วนรวม แต่เรื่องสิทธิประโยชน์ล่าช้าไม่ได้ อาจส่งผลเสียหายต่อวงการ ฟุตบอลจึงต้องเร่งเปิดประมูล”
ส่วนเรื่องที่ว่าหากมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจนายกสมาคมฯเป็นคนใหม่จะส่งผลกระทบในอนาคตหรือไม่นั้น นายพงษ์ศักดิ์ ผลอนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.สยามสปอร์ตฯ เผยว่า “ทุกอย่างเป็นไปตามมาตรฐานสากล การประมูลเริ่มต้นจากการเชิญบริษัท ที่สนใจเข้ามาดูรายละเอียดและเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งมีประมาณ 3 บริษัท จากนั้นก็ให้ยื่นซองและราคาเข้ามา ก่อนที่ ทรูวิชั่นส์ จะชนะการประมูลอย่างเด็ดขาด และก่อนหน้านี้ทาง บมจ.สยามสปอร์ต ได้ลงนามกับสมาคมฟุตบอลฯ ซึ่งถือเป็นการลงนามระหว่างนิติบุคคล ดังนั้นทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายและ ทรูวิชั่นส์ ก็ได้ลิขสิทธิ์อย่างถูกต้อง หากในอนาคตหากนายกสมาคมฯ ไม่ใช่ วรวีร์ มะกูดี ทุกอย่างก็เป็นไปตามกฎหมายอยู่แล้ว จึงไม่อยากให้คาดเดาอะไรไปก่อน”
ด้าน นายอาณัติ เมฆไพบูลย์วัฒนา กรรมการผู้จัดการ ทรูวิชั่นส์ ได้เผยว่าตนเองไม่ทราบข้อมูลต่างๆ เช่นกัน “การประมูลทุกอย่างเป็นไปตามสากล ทุกอย่างเป็นความลับ เราจึงไม่ทราบรายละเอียดว่าเจ้าอื่นเสนอราคาเท่าไหร่ ดังนั้นจึงทำให้ทางทรูวิชั่นส์ต้องทุ่มเต็มที่ ส่วนรายละเอียดการถ่ายทอดสดทางช่องต่างๆ นั้นจะมีการแถลงข่าวอีกครั้งภายหลัง”
แต่ทั้งนี้ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่าการลงนามดังกล่าวเป็นเรื่องระหว่าง สยามสปอร์ต กับ ทรูวิชั่นส์ เท่านั้น ซึ่งยังไม่ได้รับการรับรองจากทางสมาคมฟุตบอลฯ ดังนั้นเป็นไปได้ว่าหากในอนาคตมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจใหม่แทนที่ นายวรวีร์ ข้อตกลงดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
ขณะที่ทางฝั่ง นายอรรณพ สิงห์โตทอง รองประธานสโมสรชลบุรี เอฟซี ตั้งคำถามถึงความโปร่งใสเช่นกันว่า “เรื่องเงินสนับสนุนที่ทีมได้มากขึ้นกว่าเดิมนั้นก็พอใจ แต่ไม่สำคัญเท่าความโปร่งใส การที่หลายฝ่ายไม่เคยทราบมาก่อนว่าจะมีการเปิดประมูล นั้นถือเป็นเรื่องที่แสดงถึงภาพลักษณ์ความไม่โปร่งใสของสมาคมฯมากขึ้น เพราะอาจมีหลายบริษัทที่ต้องการเข้ามาเช่นกัน”
“และทางสโมสรชลบุรีเองที่เป็น 1 ใน บอร์ดของทีพีแอล ก็ยังไม่เคยทราบมาก่อน อีกทั้งการที่เปิดประมูลในช่วงเวลานี้ถือเป็นการผิดมารยาททางสังคม เพราะยังไม่มีการแต่งตั้งคณะบริหารชุดใหม่ และทางสมาคมฯเองมีเรื่องอื่นที่ควรจะเร่งทำมากกว่านี้ ทำไมจึงมารีบเปิดประมูลตอนนี้ มีอะไรซ่อนไว้หรือเปล่า” เดอะ เซนต์ กล่าว