คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน ราชวังสัน
นับจากนัดล่าสุดที่ ปราสาทสายฟ้า ลงแข่งขันฟุตบอล เอเอ็ฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก (AFC Champions League - ACL) ก็คือ รอบ 16 ทีม นัดที่ 2 เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมา นัดนั้น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด บุกไปยันเสมอ บุนย็อดกอร ( Bunyodkor PFK ) ที่กรุงทัชเค้นท์ ประเทศอุซเบกิสทัน แบบไร้สกอร์ ซึ่งเมื่อรวมกับนัดแรกก่อนหน้านั้นที่ ไอ-โมบาย สเตเดี้ยม ปราสาทสายฟ้า เอาชนะมา 2-1 สกอร์รวมจึงเหนือกว่า ทำให้ได้ผ่านเข้ารอบ 8 ทีม มีเวลาปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่นและฝึกระบบทีมตามแนวทางของ สก็อทท์ คูเพ่อร์ เฮ้ดโค้ชคนใหม่ จนมาถึงวันนี้ที่จะต้องลงสนามในรอบ 8 ทีมกับ เอสเตกลัล เอ็ฟซี ( Esteghlal FC ) นั้น เป็นเวลา 3 เดือนพอดี
ผมชื่นชอบแนวทางของ สก็อทท์ คูเพ่อร์ เป็นพิเศษ เพราะเห็นตอนทีมงานของเขานำทีมซ้อมก็เน้นระบบ วัน ทัช ( One-touch football ) ซึ่งเป็นระบบที่ผมพยายามแนะนำให้นักเตะไทยหันมาเล่นกัน และ บุรีรัมย์ ก็เป็นทีมหนึ่งในไม่กี่ทีมของไทยที่ทำได้ดีเสียด้วย โดยเฉพาะในการแข่งขัน โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก เล้กแรก
แต่ก่อนกลับมาเตะรอบ 8 ทีมในรายการ เอซีแอล ( ACL ) นี้ บุรีรัมย์ มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นต่างชาติใหม่หลายคน คงเก็บตัวเก่าไว้เพียง อ๊อสมาร อีบาเญซ ( Osmar Ibanez ) กองหลังร่างโย่ง รองกัปตันทีม จากสเปน แล้วใส่ชื่อ ฆาเวียร์ ปาตีโญ่ ( Javier Patino ) กองหน้าลูกครึ่งสเปน-ฟิลิปปีนส์ ซึ่งได้โควต้าเอเชีย บรูโน แอรเรโร อาริอาส ( Bruno Herrero Arias ) มิดฟีลด์ชาวสเปน เด็กฝึกของ เซบียา เอ็ฟซี และกองหน้าเชื้อสายสเปนอีกตัวคือ เฆซุส แบรโรกัล (Jesus Berrocal) ซึ่งหลายคนเชื่อว่า เด็ดกว่า คาอิ ฮิราโนะ ( Kai Hirano ) ปีกชาวญี่ปุ่น รวมทั้ง การเมโล ฆอนซาเลซ (Carmelo Gonzalez) มิดฟีลด์ผู้นำดาวซัลโวใน โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก ขณะนี้
ตามหลักแล้ว ในเมื่อมีตัวเลือกที่ดีกว่ามาทดแทนตัวเก่า แถมมีเวลาปรับตัวอีกร่วม 3 เดือน ทรงบอลของทีมมันก็ต้องเข้าที่เป็นระบบ วัน ทัช อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เท่าที่ผมเห็น นักเตะบางคนยังปรับตัวไม่เข้ากับทีมหรือยังไม่สามารถเค้นศักยภาพของตนเองออกมาช่วยทีมได้เต็มที่ โดยเฉพาะ แบรโรกัล ทำให้น่าเป็นห่วงว่า เกมรุกของ บุรีรัมย์ จะสร้างโอกาสได้น้อยและการจบสกอร์ก็ยังไม่เฉียบเพียงพอ
ในขณะที่เจ้าบ้าน เอสเตกลัล เอ็ฟซี เป็นแช้มพ์ อิหร่าน โพร ลีก ( Iran Pro League - IPL ) ฤดูกาล 2012-13 ผมอยากจะบอกก่อนว่า ชาตินี้แผ่นดินใหญ่กว่าบ้านเราประมาณ 3 เท่า ประชากรก็ราว 77 ล้านคน ขนาดนี้ ลีกสูงสุดที่เคยมี 18 ทีม เขายังพิจารณาลดเหลือ 16 ทีมเลย เอาแบบที่มีพื้นฐานแน่นจริงๆ ครับ และเน้นสร้างนักเตะเยาวชนด้วย โดยตามกฎข้อบังคับ ทุกทีมสามารถลงทะเบียนนักเตะได้ 35 คน มีนักเตะต่างชาติได้ 4 คน แต่ที่สำคัญ ใน 35 คนนั้นจะเป็นนักเตะอายุ 23 ปีขึ้นไปได้เพียง 21 คน นอกนั้น ต่ำกว่า 23 ปีได้ 6 คน ต่ำกว่า 21 ปีได้ 5 คน และต่ำกว่า 19 ปีได้อีก 3 คน อันนี้คงมีข้อดีตรงที่ทำให้นักเตะดีๆ มีประสบการณ์ไม่ขาดมือ มีรุ่นใหม่พร้อมขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ที่ได้เวลาปลดประจำการอยู่ตลอดเวลา
อาซาดี สเตเดี้ยม ( Azadi Stadium ) สนามของเขาก็ใหญ่โตจุผู้ชมได้มากถึง 91,623 คน ถือว่าใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกเชียว คู่ต่อกรของ ปราสาทสายฟ้า ค่อนข้างได้เปรียบเรื่องรูปร่างอย่างเห็นได้ชัด เพราะแต่ละคนล้วนสูงใหญ่ทั้งนั้น บอลก็เตะกันสตายล์ยุโรป แต่ละคนกระชากย้อนรอยอย่างคล่องแคล่ว และเท่าที่ผมสังเกตเห็นในเกมรุกของทีมนี้ เขาจะมีลูกทีเด็ดที่มักใช้บ่อยก็คือ ดีดบอลข้ามแผงหลังให้ มิดฟีลด์ หรือ กองหน้า วิ่งสอดเข้าไปดวลกับผู้รักษาประตู
ดูสภาพทีมของทั้ง 2 ฝั่ง เกมนี้หาก บุรีรัมย์ ไปเก็บ 3 แต้มมาก็เหลือเชื่อแล้วครับ เพราะนักเตะในทีมยัง เจล ( Gel ) กันไม่ค่อยดี หมายถึงการผสมผสานกันยังไม่เข้าที่ ดังนั้น ความหวังอย่างสูงก็คือ ขอกลับมา 1 แต้มแบบทำสกอร์ในบ้านเขาให้ได้ด้วย น่าจะทำให้ได้เปรียบในนัดที่ 2 ซึ่งจะไปถึงตรงนั้นได้ก็ต้องมีสมาธิตลอด 90 นาที แต่หากไม่มีคะแนนติดมือกลับมา ก็ต้องระวังสกอร์อย่าให้มันห่างเกิน 2 ยังถือว่ามีลุ้นที่ ไอ-โมบาย ครับ
นับจากนัดล่าสุดที่ ปราสาทสายฟ้า ลงแข่งขันฟุตบอล เอเอ็ฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก (AFC Champions League - ACL) ก็คือ รอบ 16 ทีม นัดที่ 2 เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมา นัดนั้น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด บุกไปยันเสมอ บุนย็อดกอร ( Bunyodkor PFK ) ที่กรุงทัชเค้นท์ ประเทศอุซเบกิสทัน แบบไร้สกอร์ ซึ่งเมื่อรวมกับนัดแรกก่อนหน้านั้นที่ ไอ-โมบาย สเตเดี้ยม ปราสาทสายฟ้า เอาชนะมา 2-1 สกอร์รวมจึงเหนือกว่า ทำให้ได้ผ่านเข้ารอบ 8 ทีม มีเวลาปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่นและฝึกระบบทีมตามแนวทางของ สก็อทท์ คูเพ่อร์ เฮ้ดโค้ชคนใหม่ จนมาถึงวันนี้ที่จะต้องลงสนามในรอบ 8 ทีมกับ เอสเตกลัล เอ็ฟซี ( Esteghlal FC ) นั้น เป็นเวลา 3 เดือนพอดี
ผมชื่นชอบแนวทางของ สก็อทท์ คูเพ่อร์ เป็นพิเศษ เพราะเห็นตอนทีมงานของเขานำทีมซ้อมก็เน้นระบบ วัน ทัช ( One-touch football ) ซึ่งเป็นระบบที่ผมพยายามแนะนำให้นักเตะไทยหันมาเล่นกัน และ บุรีรัมย์ ก็เป็นทีมหนึ่งในไม่กี่ทีมของไทยที่ทำได้ดีเสียด้วย โดยเฉพาะในการแข่งขัน โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก เล้กแรก
แต่ก่อนกลับมาเตะรอบ 8 ทีมในรายการ เอซีแอล ( ACL ) นี้ บุรีรัมย์ มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นต่างชาติใหม่หลายคน คงเก็บตัวเก่าไว้เพียง อ๊อสมาร อีบาเญซ ( Osmar Ibanez ) กองหลังร่างโย่ง รองกัปตันทีม จากสเปน แล้วใส่ชื่อ ฆาเวียร์ ปาตีโญ่ ( Javier Patino ) กองหน้าลูกครึ่งสเปน-ฟิลิปปีนส์ ซึ่งได้โควต้าเอเชีย บรูโน แอรเรโร อาริอาส ( Bruno Herrero Arias ) มิดฟีลด์ชาวสเปน เด็กฝึกของ เซบียา เอ็ฟซี และกองหน้าเชื้อสายสเปนอีกตัวคือ เฆซุส แบรโรกัล (Jesus Berrocal) ซึ่งหลายคนเชื่อว่า เด็ดกว่า คาอิ ฮิราโนะ ( Kai Hirano ) ปีกชาวญี่ปุ่น รวมทั้ง การเมโล ฆอนซาเลซ (Carmelo Gonzalez) มิดฟีลด์ผู้นำดาวซัลโวใน โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก ขณะนี้
ตามหลักแล้ว ในเมื่อมีตัวเลือกที่ดีกว่ามาทดแทนตัวเก่า แถมมีเวลาปรับตัวอีกร่วม 3 เดือน ทรงบอลของทีมมันก็ต้องเข้าที่เป็นระบบ วัน ทัช อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เท่าที่ผมเห็น นักเตะบางคนยังปรับตัวไม่เข้ากับทีมหรือยังไม่สามารถเค้นศักยภาพของตนเองออกมาช่วยทีมได้เต็มที่ โดยเฉพาะ แบรโรกัล ทำให้น่าเป็นห่วงว่า เกมรุกของ บุรีรัมย์ จะสร้างโอกาสได้น้อยและการจบสกอร์ก็ยังไม่เฉียบเพียงพอ
ในขณะที่เจ้าบ้าน เอสเตกลัล เอ็ฟซี เป็นแช้มพ์ อิหร่าน โพร ลีก ( Iran Pro League - IPL ) ฤดูกาล 2012-13 ผมอยากจะบอกก่อนว่า ชาตินี้แผ่นดินใหญ่กว่าบ้านเราประมาณ 3 เท่า ประชากรก็ราว 77 ล้านคน ขนาดนี้ ลีกสูงสุดที่เคยมี 18 ทีม เขายังพิจารณาลดเหลือ 16 ทีมเลย เอาแบบที่มีพื้นฐานแน่นจริงๆ ครับ และเน้นสร้างนักเตะเยาวชนด้วย โดยตามกฎข้อบังคับ ทุกทีมสามารถลงทะเบียนนักเตะได้ 35 คน มีนักเตะต่างชาติได้ 4 คน แต่ที่สำคัญ ใน 35 คนนั้นจะเป็นนักเตะอายุ 23 ปีขึ้นไปได้เพียง 21 คน นอกนั้น ต่ำกว่า 23 ปีได้ 6 คน ต่ำกว่า 21 ปีได้ 5 คน และต่ำกว่า 19 ปีได้อีก 3 คน อันนี้คงมีข้อดีตรงที่ทำให้นักเตะดีๆ มีประสบการณ์ไม่ขาดมือ มีรุ่นใหม่พร้อมขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ที่ได้เวลาปลดประจำการอยู่ตลอดเวลา
อาซาดี สเตเดี้ยม ( Azadi Stadium ) สนามของเขาก็ใหญ่โตจุผู้ชมได้มากถึง 91,623 คน ถือว่าใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกเชียว คู่ต่อกรของ ปราสาทสายฟ้า ค่อนข้างได้เปรียบเรื่องรูปร่างอย่างเห็นได้ชัด เพราะแต่ละคนล้วนสูงใหญ่ทั้งนั้น บอลก็เตะกันสตายล์ยุโรป แต่ละคนกระชากย้อนรอยอย่างคล่องแคล่ว และเท่าที่ผมสังเกตเห็นในเกมรุกของทีมนี้ เขาจะมีลูกทีเด็ดที่มักใช้บ่อยก็คือ ดีดบอลข้ามแผงหลังให้ มิดฟีลด์ หรือ กองหน้า วิ่งสอดเข้าไปดวลกับผู้รักษาประตู
ดูสภาพทีมของทั้ง 2 ฝั่ง เกมนี้หาก บุรีรัมย์ ไปเก็บ 3 แต้มมาก็เหลือเชื่อแล้วครับ เพราะนักเตะในทีมยัง เจล ( Gel ) กันไม่ค่อยดี หมายถึงการผสมผสานกันยังไม่เข้าที่ ดังนั้น ความหวังอย่างสูงก็คือ ขอกลับมา 1 แต้มแบบทำสกอร์ในบ้านเขาให้ได้ด้วย น่าจะทำให้ได้เปรียบในนัดที่ 2 ซึ่งจะไปถึงตรงนั้นได้ก็ต้องมีสมาธิตลอด 90 นาที แต่หากไม่มีคะแนนติดมือกลับมา ก็ต้องระวังสกอร์อย่าให้มันห่างเกิน 2 ยังถือว่ามีลุ้นที่ ไอ-โมบาย ครับ