คอลัมน์ “ริงไซด์ ไฟต์คลับ” โดย “ลักษมณ์ นันทิวัชรินทร์”
แฟนมวยไทยยุค 20 ปีเศษๆ ก่อนหน้านี้คงยังจำ “ขุนเข่าไร้น้ำใจ” หลังสวน พันธุ์ยุทธภูมิ และ “แรมโบ้” พงษ์ศิริ พ.ร่วมฤดี กันได้ดีนะครับ ทั้งคู่เป็นยอดมวยที่ร่วมสร้างความมันส์และความประทับใจบนผืนผ้าใบมามากต่อมาก โดยเฉพาะ หลังสวน นั้นเคยได้รับตำแหน่งนักมวยไทยยอดเยี่ยมประจำปี พ.ศ. 2530 ของสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬามาแล้ว ส่วน “แรมโบ้” นั้นไม่ต้องห่วง ไฟต์ดุเดือดในประวัติศาสตร์กับ “ไอ้เลือดเหล็ก” ไพโรจน์น้อย ส.สยามชัย ยังเป็นไฟต์ที่ถูกพูดถึงทุกครั้งที่คุยกันถึงไฟต์แห่งความทรงจำ
ล่าสุดเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี้ ทั้งคู่ได้มีโอกาสเปิดศึกมวยย้อนยุคกัน หลังจากเคยพบกันสมัยรุ่งๆ 3 ไฟต์ ซึ่งหลังสวนสามารถเอาชนะคะแนนไปได้ทั้งหมด กลับมาเจอกันใหม่ในวัย 40 กว่าๆ จากการจัดของโปรโมเตอร์มือทองสมองเพชร ทรงชัย รัตนสุบรรณ ทั้งคู่เตรียมตัวมาเต็มที่ สภาพร่างกายฟิตเปรี๊ยะ และพอระฆังดังทั้งคู่ก็เดินเข้าหากันใส่กันไม่หยุดแบบลืมวัย
“แรมโบ้” คราวนี้มาดีมีอาวุธหลากหลายผิดกว่าสมัยรุ่งๆ ที่อาศัยสาวหมัดอย่างเดียว คราวนี้มีทั้งหมัดทั้งแข้งออกอาวุธจนหลังสวนเข้าไม่ติดไม่มีโอกาสปล้ำตีเข่าเลยในช่วงสองยกแรก แต่พอขึ้นยกสาม “ขุนเข่าไร้น้ำใจ” เริ่มเดินเบียดได้ติดขึ้น ได้จังหวะจับตีเข่าหลายดอก แต่ พงษ์ศิริ โชว์ความฟิตสุดยอดในวัย 40 กลางๆ ไม่ออกอาการหมดให้เห็นเลย แถมยังยิงหมัดใส่หน้า หลังสวน ได้หลายหมัดจนหยุดไปเป็นช่วงๆ เหมือนกัน สุดท้ายทั้งคู่แลกกันสนุกครบ 5 ยกกรรมการตัดสินให้เสมอกันไปแบบ “แรมโบ้” น่าจะเสียดายกว่านิดๆ ที่แก้มือไม่สำเร็จ
เห็นการชกของอดีตสุดยอดมวยไทยทั้งคู่ในไฟต์นี้แล้วก็ต้องยอมรับว่ามวยไทยในสมัยนั้นสมเป็นยุครุ่งเรืองจริงๆ ฝีไม้ลายมือ การออกอาวุธต่างๆ ถือว่าสุดยอดชนิดนักมวยรุ่นใหม่ต้องอาย และทำให้เห็นภาพได้เลยว่าทำไมมวยไทยในปัจจุบันถึงไม่สามารถครองใจแฟนกีฬาได้ อีกอย่างที่ต้องขอชื่นชมยอดมวยไทยทั้งคู่ก็คือเตรียมตัวมาดีมาก สภาพร่างกาย ความฟิต อยู่ในระดับสุดยอดทั้งคู่จริงๆ เดินใส่กันตลอด 5 ยกโดยไม่มีหมดไม่มีจดๆ จ้องๆ การออกอาวุธก็ยังเนียนตาและหนักหน่วงรุนแรงเหมือนสมัยรุ่งๆ ไม่มีผิด พูดกันจริงๆ “ฮีโร่โอลิมปิก” อย่าง สมรักษ์ คำสิงห์ ที่หวนคืนสังเวียนมา 3 ไฟต์นั้นขึ้นเวทีแบบเอาชื่อมาเรียกคนดูมากกว่า แต่สภาพร่างกายยังสู้ทั้ง หลังสวน และ แรมโบ้ ไม่ได้แน่นอน แต่ก็ต้องยอมรับว่านั่นเป็นสไตล์ของ สมรักษ์ เขาและการหวนขึ้นเวทีของ “เสี่ยบาส” นี่แหละที่จุดประกายให้มีการจัดศึกมวยย้อนยุคกันอีก
ประสบความสำเร็จแบบนี้แฟนมวยก็เริ่มอยากเห็นมวยดังในอดีตอีกหลายคู่ให้ได้กลับมาเจอกันให้หายคิดถึง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับนักมวยแต่ละคนว่ารักษาสภาพร่างกายไว้ได้แค่ไหน แต่ที่แน่ๆ “บิ๊กซ้ง” ทรงชัย รัตนสุบรรณ ขึ้นป้ายเรียบร้อยแล้วสำหรับรายการในเดือนกันยายน ว่าจะนำ “ต่วนเป๋” หนึ่งอุบล ศิษย์เลิศชัย มาพบกับ “ไอ้หมัดพญายม” หลักหิน วสันตสิทธิ์ แค่นี้แฟนมวยก็ซี้ดแล้ว แถม “ไอ้เลือดเหล็ก” ไพโรจน์น้อย ส.สยามชัย คู่กรณีคนเดิมกับพงษ์ศิริ พ.ร่วมฤดี ที่ตอนนี้ไปสอนมวยอยู่ที่บราซิลก็แสดงเจตนารมณ์มาแล้วว่าพร้อมหวนคืนสังเวียนอีกครั้ง มีข้อแม้อย่างเดียวคือต้องการพบกับโจทก์เก่าอย่าง “แรมโบ้” เท่านั้น ก็ต้องติดตามดูกันต่อไปว่าฝันของแฟนมวยไทยยุครุ่งเรืองจะเป็นจริงหรือไม่
แฟนมวยไทยยุค 20 ปีเศษๆ ก่อนหน้านี้คงยังจำ “ขุนเข่าไร้น้ำใจ” หลังสวน พันธุ์ยุทธภูมิ และ “แรมโบ้” พงษ์ศิริ พ.ร่วมฤดี กันได้ดีนะครับ ทั้งคู่เป็นยอดมวยที่ร่วมสร้างความมันส์และความประทับใจบนผืนผ้าใบมามากต่อมาก โดยเฉพาะ หลังสวน นั้นเคยได้รับตำแหน่งนักมวยไทยยอดเยี่ยมประจำปี พ.ศ. 2530 ของสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬามาแล้ว ส่วน “แรมโบ้” นั้นไม่ต้องห่วง ไฟต์ดุเดือดในประวัติศาสตร์กับ “ไอ้เลือดเหล็ก” ไพโรจน์น้อย ส.สยามชัย ยังเป็นไฟต์ที่ถูกพูดถึงทุกครั้งที่คุยกันถึงไฟต์แห่งความทรงจำ
ล่าสุดเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี้ ทั้งคู่ได้มีโอกาสเปิดศึกมวยย้อนยุคกัน หลังจากเคยพบกันสมัยรุ่งๆ 3 ไฟต์ ซึ่งหลังสวนสามารถเอาชนะคะแนนไปได้ทั้งหมด กลับมาเจอกันใหม่ในวัย 40 กว่าๆ จากการจัดของโปรโมเตอร์มือทองสมองเพชร ทรงชัย รัตนสุบรรณ ทั้งคู่เตรียมตัวมาเต็มที่ สภาพร่างกายฟิตเปรี๊ยะ และพอระฆังดังทั้งคู่ก็เดินเข้าหากันใส่กันไม่หยุดแบบลืมวัย
“แรมโบ้” คราวนี้มาดีมีอาวุธหลากหลายผิดกว่าสมัยรุ่งๆ ที่อาศัยสาวหมัดอย่างเดียว คราวนี้มีทั้งหมัดทั้งแข้งออกอาวุธจนหลังสวนเข้าไม่ติดไม่มีโอกาสปล้ำตีเข่าเลยในช่วงสองยกแรก แต่พอขึ้นยกสาม “ขุนเข่าไร้น้ำใจ” เริ่มเดินเบียดได้ติดขึ้น ได้จังหวะจับตีเข่าหลายดอก แต่ พงษ์ศิริ โชว์ความฟิตสุดยอดในวัย 40 กลางๆ ไม่ออกอาการหมดให้เห็นเลย แถมยังยิงหมัดใส่หน้า หลังสวน ได้หลายหมัดจนหยุดไปเป็นช่วงๆ เหมือนกัน สุดท้ายทั้งคู่แลกกันสนุกครบ 5 ยกกรรมการตัดสินให้เสมอกันไปแบบ “แรมโบ้” น่าจะเสียดายกว่านิดๆ ที่แก้มือไม่สำเร็จ
เห็นการชกของอดีตสุดยอดมวยไทยทั้งคู่ในไฟต์นี้แล้วก็ต้องยอมรับว่ามวยไทยในสมัยนั้นสมเป็นยุครุ่งเรืองจริงๆ ฝีไม้ลายมือ การออกอาวุธต่างๆ ถือว่าสุดยอดชนิดนักมวยรุ่นใหม่ต้องอาย และทำให้เห็นภาพได้เลยว่าทำไมมวยไทยในปัจจุบันถึงไม่สามารถครองใจแฟนกีฬาได้ อีกอย่างที่ต้องขอชื่นชมยอดมวยไทยทั้งคู่ก็คือเตรียมตัวมาดีมาก สภาพร่างกาย ความฟิต อยู่ในระดับสุดยอดทั้งคู่จริงๆ เดินใส่กันตลอด 5 ยกโดยไม่มีหมดไม่มีจดๆ จ้องๆ การออกอาวุธก็ยังเนียนตาและหนักหน่วงรุนแรงเหมือนสมัยรุ่งๆ ไม่มีผิด พูดกันจริงๆ “ฮีโร่โอลิมปิก” อย่าง สมรักษ์ คำสิงห์ ที่หวนคืนสังเวียนมา 3 ไฟต์นั้นขึ้นเวทีแบบเอาชื่อมาเรียกคนดูมากกว่า แต่สภาพร่างกายยังสู้ทั้ง หลังสวน และ แรมโบ้ ไม่ได้แน่นอน แต่ก็ต้องยอมรับว่านั่นเป็นสไตล์ของ สมรักษ์ เขาและการหวนขึ้นเวทีของ “เสี่ยบาส” นี่แหละที่จุดประกายให้มีการจัดศึกมวยย้อนยุคกันอีก
ประสบความสำเร็จแบบนี้แฟนมวยก็เริ่มอยากเห็นมวยดังในอดีตอีกหลายคู่ให้ได้กลับมาเจอกันให้หายคิดถึง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับนักมวยแต่ละคนว่ารักษาสภาพร่างกายไว้ได้แค่ไหน แต่ที่แน่ๆ “บิ๊กซ้ง” ทรงชัย รัตนสุบรรณ ขึ้นป้ายเรียบร้อยแล้วสำหรับรายการในเดือนกันยายน ว่าจะนำ “ต่วนเป๋” หนึ่งอุบล ศิษย์เลิศชัย มาพบกับ “ไอ้หมัดพญายม” หลักหิน วสันตสิทธิ์ แค่นี้แฟนมวยก็ซี้ดแล้ว แถม “ไอ้เลือดเหล็ก” ไพโรจน์น้อย ส.สยามชัย คู่กรณีคนเดิมกับพงษ์ศิริ พ.ร่วมฤดี ที่ตอนนี้ไปสอนมวยอยู่ที่บราซิลก็แสดงเจตนารมณ์มาแล้วว่าพร้อมหวนคืนสังเวียนอีกครั้ง มีข้อแม้อย่างเดียวคือต้องการพบกับโจทก์เก่าอย่าง “แรมโบ้” เท่านั้น ก็ต้องติดตามดูกันต่อไปว่าฝันของแฟนมวยไทยยุครุ่งเรืองจะเป็นจริงหรือไม่
