xs
xsm
sm
md
lg

6 เรื่องน่ารู้ที่ มัวร์ฟิลด์ ระหว่างดู “ดิ โอเพน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สนาม มัวร์ฟิลด์ กอล์ฟ ลิงค์ส
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - วันที่ 18 ถึง 21 กรกฎาคมนี้ วงการก้านเหล็กกลับมาคึกคักกันอีกครั้ง เมื่อถึงคิวของศึกเมเจอร์ลำดับที่ 3 ของปี “ดิ โอเพน” ซึ่งถือเป็นรายการเดียวจากทั้ง 4 เมเจอร์ที่ต้องชิงชัยกันนอกประเทศสหรัฐอเมริกา ครั้งนี้สนาม มัวร์ฟิลด์ กอล์ฟ ลิงค์ส สกอตแลนด์ได้รับหน้าสื่อเป็นเจ้าภาพอีกครั้งหลังจัดมาแล้ว 15 สมัยนับตั้งแต่ 1892 ที่แชมป์ตกเป็นของ ฮาโรลด์ ฮิลตัน สวิงอเมเจอร์ชาวอังกฤษ โดยทุกครั้งที่ผ่านมามักมีเรื่องน่าจดจำเสมอและบรรทัดต่อจากนี้คือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยก่อนดู “ดิ โอเพน”

สภาพอากาศ
ไม่ใช่แค่ มัวร์ฟิลด์ กอล์ฟ ลิงค์ส เพียงสนามเดียวที่ถูกออกแบบมาเป็นสนามกอล์ฟติดทะเล แต่หลายๆ สนามในสหราชอาณาจักรส่วนใหญ่ถูกออกแบบและได้รับการขนานนามให้เป็นสนามลิงค์ครอสที่ขึ้นชื่อทั้งสิ้น โดยตลอดทั้ง 18 หลุมในแต่ละวันไม่มีทางที่เหล่านักกอล์ฟจะได้เล่นในสภาพอากาศที่คล้ายกัน ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือลมทะเลที่พร้อมจะพัดเข้ามารบกวนอยู่ตลอดเวลา

ฮอล ออฟ เฟม
นับเป็นเรื่องเหลือเชื่อเมื่อเจ้าของถ้วย “คลาเร็ท จัก” จากสนามอื่นๆ ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1940-1945 ไม่มีใครถูกรับเลือกเข้าสู่หอเกียรติยศแม้แต่รายเดียว โดยมีเพียง อัลเฟรด เพอร์รี แชมป์ปี 1935 และ เท็ด เรย์ ในปี 1912 ที่หยิบแชมป์จากสนาม มัวร์ฟิลด์ เท่านั้นที่ได้รับเลือกเข้าสู่ “ฮอล ออฟ เฟม” ในเวลาต่อมา

อายุ 32 ปี
ตัวเลขไม่เคยโกหกใคร แต่สำหรับแชมป์ต้องอาศัยฝีมือด้วย อดัม สกอตต์ โปรชาวออสซี ในวัย 32 ปี ปลดล็อกคว้าแชมป์เมเจอร์แรกให้ตัวเองในรายการ “เดอะ มาสเตอร์ส” เมื่อเดือนเมษายน ซึ่งคงเป็นเรื่องบังเอิญที่ จัสติน โรส สวิงมือ 3 ของโลกประเดิมเมเจอร์แรกที่ “ยูเอส โอเพน” เมื่อเดือนมิถุนายนในวัย 32 ปี เช่นกัน ดังนั้นหากนับตามสถิติและ “ดิ โอเพน” ไม่อยากตกเทรนด์ เจ้าของแชมป์ปีนี้คงต้องมีอายุ 32 ปีพอดี อย่าง แบรนด์ท สนีเดเกอร์ โปรมะกัน หรือ กอนโซโล เฟร์นันเดซ-กาสตาโน จากสเปน

วันเสาร์สุดเซ็ง
ย้อนวันวานกลับไปในวันเสาร์ที่ 20 ก.ค. 2002 หลายคนอาจมีความทรงจำที่ดี แต่ไม่ใช่สำหรับ ไทเกอร์ วูดส์ และ โคลิน มอนโกเมอร์รี เมื่อเมฆดำก้อนใหญ่จากทิศตะวันออกเข้าปกคลุมสนาม มัวร์ฟิลด์ พร้อมกับฝนหนักเม็ดกว่า 2 ชั่วโมง ทำให้ฟอร์มของ “พญาเสือ” ที่กำลังลุ้นทำแกรนด์สแลมกอล์ฟ จบวันด้วยสกอร์ 81 สูงที่สุดในการเล่นอาชีพ ส่วน ยอดโปรชาวสกอตต์จบที่ 84 ตีเกินกว่าสกอร์ในการเล่นรอบ 2 ไปถึง 20 ช๊อต

แมตช์อำลา ฟัลโด
เซอร์ นิค ฟัลโด ตำนานก้านเหล็กจอมเก๋าชาวเมืองผู้ดี เป็นนักกอล์ฟอังกฤษคนสุดท้ายที่คว้าแชมป์ “บริติช โอเพน” มาครองได้ และถือเป็นการซิวเหยือก “คลาเร็ท จัก” ได้ 2 สมัยในสนาม มัวร์ฟิลด์ ส่วนอีก 1 สมัยได้จากสนามเซนต์ แอนดรูวส์ โดยปี 1987 เขาประเดิมแชมป์รายการนี้ครั้งแรกให้ตัวเองด้วยการทิ้งห่างผู้ตาม 5 สโตรก ก่อนจะมาสั่งลาซิวแชมป์อีกครั้งในปี 1992 ด้วยการทิ้งระยะห่างถึง 12 สโตรก

ม้านอกสายตา
แชมป์ “ดิ โอเพน” ในช่วง 3 ปีหลังสุดปฏิเสธไม่ได้ว่า มักตกเป็นของโปรนอกสายตามีเรื่องเหนือความคาดหมายจนบดบังรัศมีซูเปอร์สตาร์เกือบหมด ไล่ตั้งแต่ หลุยส์ อุสต์ไฮเซน จากแอฟริกาใต้ ปี 2010, ดาร์เรน คลาร์ก จากไอร์แลนด์เหนือ ปี 2011 และล่าสุด เออนี เอลส์ จอมเก๋าจากแอฟริกาใต้ในปี 2012 ซึ่งนอกเหนือจากรายชื่อแชมป์ที่กล่าวมา ตลอด 5 ปี หลังสุดยังไม่มีนักกอล์ฟมือท็อป 10 ของโลกก้าวไปหยิบแชมป์รายการนี้แม้แต่ครั้งเดียว

เรื่องโดย : ปภังกรณ์ นิลวรกุล
ไทเกอร์ ไม่มีวันลืมเมื่อปี 2002
“บิ๊กอีซีย์” แชมป์คนล่าสุด
ปีนี้ สนีเดเกอร์ อายุ 32 ปี
นิค ฟัลโด ตำนานของอังกฤษ
กำลังโหลดความคิดเห็น