ASTV ผู้จัดการรายวัน – อนาคตวงการลูกหนังไทยกำลังเข้าสู่ช่วงกลียุค หลัง 2 ขั้วอำนาจทั้งเก่าและผู้ท้าชิงกำลังเดินเกมแย่งเก้าอี้นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย โดยมีเดตไลน์ก่อนที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหริอ ฟีฟา จะประกาศใช้ธรรมนูญมาตรฐานฉบับสากลหลังวันที่ 31 กรกฎาคมนี้
ก่อนหน้านี้ นายวรวีร์ มะกูดี ที่ปัจจุบันเป็นเพียงรักษาการนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย หลังจากหมดวาระตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2556 พยายามที่จะแก้ไขข้อบังคับของสมาคมฯ โดยอ้างว่าให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลของฟีฟา ในการประชุมใหญ่พิเศษสามัญประจำปี เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ที่ผ่านมา แต่การประชุมดังกล่าวไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวจากศาลมีนบุรี โดยมีสโมสรฟุตบอล พัทยา จำกัด (พัทยา เอฟซี) ทีมจากถ้วยพระราชประเภท ข.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องสมาคมฟุตบอลฯ ในฐานะจำเลยที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ไม่ให้นำเรื่องโหวตแก้ไขข้อบังคับฉบับใหม่และเรื่องคณะกรรมการเลือกตั้งไปให้สมาชิกลงมติรับรองในการประชุม
เนื่องจากในร่างข้อบังคับดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงเสียงของสโมสรสมาชิกที่มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งนายกสมาคมฯ จากทั้งหมด 179 เสียง ให้เหลือเพียง 72 เสียง จึงไม่เป็นที่พอใจของสดมสรระดับรากหญ้าที่ถูกตัดสิทธิ์อย่างไม่เป็นธรรม
ซึ่งสมาคมฟุตบอลฯยืนกรานมาโดยตลอด ว่าจะไม่จัดการเลือกตั้งครั้งใหม่จนกว่าจะมีการเปลี่ยนข้อบังคับของไทยให้เป็นไปตามฟีฟาเสียก่อน แม้จะต้องเลย 30 วันก็ตาม เพราะยังมีอำนาจรักษาการได้จนกว่าจะมีคณะกรรมการชุดใหม่เข้ามา จึงทำให้ ณ เวลานี้เกิดช่วงสุญญากาศไม่สามารถทำอะไรได้ไปโดยปริยาย ซึ่งนายวรวีร์ ได้แต่รอคำสั่งจากฟีฟาว่าจะมีความเห็นให้ปฏิบัติอย่างไร และเป็นไปได้ที่ฟีฟาจะสั่งให้สมาคมฯแจ้งให้สโมสรพัทยาฯ ถอนฟ้องมิเช่นนั้นจะถูกแบนฐานขัดคำสั่งองค์กร และหากสมาคมฯไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ในเร็ววันนี้ประเทศไทยอาจถูกแบนจากลูกหนังโลกเช่นกัน ขณะที่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดหากยังแก้ไขไม่ได้ คาดการณ์ว่า “บังยี” อาจดึงฟีฟาเข้ามาเป็นข้อต่อรองในการจัดการปัญหาโดยอ้างว่าถูกการเมืองแทรกแซง และพร้อมที่จะปล่อยให้ลูกหนังไทยและตนเองถูกตัดสิทธิ์จากลูกหนังโลกพร้อมๆ กัน
ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามที่นำโดยนายอรรณพ สิงห์โตทอง รองประธานสโมสรชลบุรี เอฟซี และ 2 ผู้ท้าชิงเก้าอี้นายกบอลไทยอย่างนายวิรัช ชาญพานิชย์ กับนายพินิจ งามพริ้ง ได้ยึดจุดยืนให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 30 วัน ตามกฎหมายไทย แล้วจึงค่อยแก้ไขข้อบังคับให้เป็นไปตามฟีฟาหลังได้คณะกรรมการชุดใหม่ พร้อมเตรียมแผนรับมือด้วยการรวบรวมเสียงจากสโมสรสมาชิกจำนวน 1 ใน 3 หรือประมาณ 60 จากทั้งหมด 179 เสียง ทำเรื่องยื่นต่อ “บิ๊กเปี๊ยก” องอาจ ก่อสินค้า เลขาธิการสมาคมฟุตบอลฯ ให้จัดการเลือกตั้งภายใน 21 วัน นับตั้งแต่วันรับหนังสือ ตามอำนาจของพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ.2528 โดยเรื่องนี้มี “ทนายอ๊อด” ภีมเดช อมรสุคนธ์ ตัวแทนสโมสรสมาชิกจากระยอง เป็นหัวเรือใหญ่ในการรวบรวม ซึ่งคาดว่าจะเตรียมยื่นในวันที่ 25 มิถุนายนนี้ หากล่วงเลยวันกำหนดทางสมาคมฟุตบอลฯยังไม่มีจัดการเลือกตั้ง สโมสรสมาชิกสามารถเปิดประชุมใหญ่ เพื่อทำเรื่องกำหนดวาระพร้อมกำหนดวันเลือกตั้ง ก่อนส่งให้กับ กกท. เข้ามาตรวจสอบดูแลได้ทันที
พร้อมกันนี้กลุ่ม “ชลบุรี คอนเน็คชั่น” ยังส่งสัญญาณว่าพร้อมเปลี่ยนแปลงรับธรรมนูญใหม่ของฟีฟา เพียงแต่ต้องหลังการเลือกตั้งตามกฎหมายไทยไปแล้วเท่านั้น แถมเตรียมแผนเจรจาให้ข้อมูลกับองค์กรลูกหนังโลก แจ้งให้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงเพื่อแสดงเจตนารมณ์ว่าไม่ได้จงใจเป็นปรปักษ์กับโลกฟุตบอลแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามอาจต้องใช้เวลาพอสมควรสำหรับขั้นตอนต่างๆ อาทิ หากเป็นไปตามขั้นต้นยื่นหนังสือวันที่ 25 มิถุนายน ให้หลังอีก 21 วัน ประมาณวันที่ 16 กรกฎาคม จะจัดประชุมใหญ่ จากนั้นต้องมีระยะเวลาเตรียมการในการตรวจสอบและส่งจดหมายถึงสโมสรสมาชิกอย่างน้อยราว 7 วัน เท่ากับว่าจะสามารถจัดเลือกตั้งได้ก็วันที่ 23 กรกฎาคม ซึ่งจะเป็นเวลาที่กระชั้นชิดกับวันเดตไลน์ 31 กรกฎาคม ที่ฟีฟาเตรียมประกาศให้สมาชิกทั้ง 209 ชาติทั่วโลกเปลี่ยนแปลงข้อบังคับให้เป็นไปตามธรรมนูญสากลฉบับใหม่พร้อมกัน โดยในเรื่องนี้แม้ฟีฟาจะยังไม่มีบทลงโทษที่แน่ชัดเป็นลายลักษณ์อักษรว่าหากชาติสมาชิกไม่ปฏิบัติตามจะส่งผลกระทบอย่างไร แต่โทษสูงสุดที่ตัวแทนฟีฟาและสมาคมฟุตบอลฯออกโรงขู่คือถูกแบนห้ามร่วมสังฆกรรมกับลูกหนังโลก
ซึ่งล่าสุด สโมสรพัทยา เอฟซี พร้อมเจรจากับฝ่ายผู้บริหารเดิมของสมาคมฟุตบอลฯ เพื่อถอนฟ้อง หากว่ามีการระงับการแก้ไขธรรมนูญในการเลือกตั้งโดยให้มีเสียง 179 เสียงเท่าเดิม โดยไม่มีการลดทอนจำนวนสโมสรสมาชิกอีก โดยต้องรอดูว่ากลุ่มขั้วอำนาจเก่านำโดย “บังยี” จะยอมถอยเพื่อจัดการเลือกตั้งประมุขสมาคมลูกหนังไทยเพียงวาระเดียวโดยไม่มีการสอดไส้แก้ธรรมนูญลูกหนังหรือไม่
