“เสี่ยณพ” อรรณพ สิงห์โตทอง รองประธานสโมสร ชลบุรี เอฟซี เปิดเผยว่าตนยังสงสัยในคุณสมบัติของ 30 สโมสรในระดับลีกภูมิภาค ดิวิชัน 2 ที่มีสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงเลือกนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ตามข้อบังคับใหม่ของสมาคมฯ ว่าใช้วิธีใดเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน
สืบเนื่องจากที่นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เสนอให้มีการแก้ไขข้อบังคับลักษณะปกครองของสมาคมฟุตบอลฯให้เป็นไปตามธรรมนูญมาตรฐานที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟา) กำหนด ในการประชุมใหญ่ประจำปีของสมาคมฯ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีสโมสรสมาชิกเห็นชอบจำนวน 55 เสียง และ คัดค้าน 48 เสียง
โดยในร่างธรรมนูญดังกล่าวได้มีวาระสำคัญที่ระบุถึงการเปลี่ยนจำนวนผู้ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนในการเลือกตำแหน่งนายกสมาคมฯ ให้เหลือเพียง 72 เสียง แบ่งเป็นจาก18 สโมสรสมาชิกในไทยพรีเมียร์ลีก, 18 สโมสรสมาชิกในดิวิชัน 1, ทีมชนะเลิศ และรองชนะเลิศ การแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานประเภท ข ค และ ง ทีมละ 1 เสียง, และผู้แทนสโมสรที่เข้าร่วมการแข่งขันลีกภูมิภาค ดิวิชัน 2 ทั้ง 6 ภูมิภาค โดยคัดเลือกภูมิภาค ละ 5 สโมสร
สำหรับในเรื่องนี้ นายอรรณพ สิงห์โตทอง บอสใหญ่ฉลามชล ได้เผยว่าตนยังสงสัยถึงวิธีการคัดเลือก 30 สโมสรจากดิวิชัน 2 ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร “ก่อนอื่นต้องบอกว่าการที่ วรวรี ทำการแก้ข้อบังคับในที่ประชุมวันนั้นสง่างามแค่ไหน เนื่องจากร่างเอกสารดังกล่าวมีการส่งมอบให้กับสมาชิกก่อนการประชุมเพียงไม่กี่นาที ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องใช้เวลาในการพิจารณา”
“ซึ่งในร่างข้อบังคับดังกล่าวผมยังมีข้อสงสัยในเรื่องของสิทธิ์ในการลงคะแนนเลือกนายกสมาคมฯของสโมสรสมาชิก จำนวน 72 เสียง ในส่วนนี้สำหรับไทยพรีเมียร์ลีก และ ดิวิชัน 1 อย่างละ 18 เสียงนั้นรับได้ แต่ในระดับดิวิชัน 2 ทั้ง 6 ภูมิภาค จำนวน 30 เสียงนั้นมาจากไหน เนื่องจากไม่มีระบุไว้ว่าจะใช้วิธีการใดเป็นตัวคัดเลือก และที่สำคัญในส่วนนี้ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นการกำหนดจาก ฟีฟา แน่นอน เพราะทั่วโลกแต่ละประเทศมีลีกไม่เหมือนกัน และมีจำนวนไม่เท่ากัน ทาง ฟีฟา อาจจะกำหนดเป็นแนวทางมาและให้แต่ละประเทศปรับใช้ตามความเหมาะสม ซึ่งจะต้องมีการหารือกับสโมสรสมาชิกก่อน แต่นี่ทาง วรวีร์ กลับตัดสินใจเลยโดยมีมติไม่ถึง 2 ใน 3 ด้วยซ้ำ” เสี่ยณพกล่าว
พร้อมกันนี้ “เดอะ เซนต์” ยังเผยถึงการสนับสนุน นายวิรัช ชาญพานิช ท้าชิงตำแหน่งประมุขลูกหนังคนใหม่อีกว่า “ผมสนับสนุนเต็มที่อยู่แล้ว เพราะมีทางเลือกแค่ 2 ทาง คือ เอาหรือไม่เอา วรวีร์ ซึ่งในเรื่องนี้อยากจะบอกว่าเราไม่ควรมองแค่ตัวบุคคล แม้ความชำนาญในด้านนี้ของ วิรัช อาจจะไม่เท่า วรวีร์ ที่อยู่มาหลายสิบปี แต่เราต้องมองถึงทีมงานด้วย และเรามั่นใจว่าฝั่งเราจะมีทีมงานในด้านต่างๆ เช่น ฝ่ายต่างประเทศ, ฝ่ายจัดฟุตบอลเยาวชน, อบรมโค้ช หรือการจัดการต่างๆ ที่เข้มแข็งมากกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน”
