คอลัมน์ “The Golf Touch” โดย “วันปีย์ สัจจมาร์ค”
มาเลเซียและฟลอริด้าถึงแม้จะอยู่คนละฟากฟ้าแต่ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีเรื่องราวที่คล้ายกันอยู่หลายเรื่อง ก่อนอื่นเลยด้วยอากาศที่ร้อนจัดของประเทศมาเลเซียในการแข่งขันรายการ เมย์แบงค์ มาเลเซียน โอเพ่น ทำให้มีนักกอล์ฟยุโรปถอนตัวออกไปหลายราย ส่วนทางด้านพีจีเอ ทัวร์ ในรายการอาร์โนลด์ พาลเมอร์ อินวิเตชั่น ก็มีนักกอล์ฟยุโรปชั้นนำถอนตัวเช่นกัน หลังจากมีทั้งตีออก 9 ที่หลุม 6 พาร์ 5 และปีนต้นไม้ขึ้นไปเหนือระดับสนามกอล์ฟ 15 ฟุตเพื่อตีช็อตสอง เซอร์จิโอ การ์เซีย บอกว่าเขามีอาการเจ็บไหล่จากการตีช็อตบนต้นไม้นั้นและถอนตัวช่วงฝนตก
นอกจากนี้ฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจทำให้กอล์ฟแข่งขันกันล่าช้า แต่ต้องยอมรับว่าสัปดาห์นี้ดูกอล์ฟสนุกสนานมาก ที่มาเลเซียแข่งกันแค่ 54 หลุมก็จริง แต่ก็สมหวังตามแรงเชียร์ของคนไทยเพราะเป็นโปรอาร์ม กิรเดช ที่สามารถคว้าแชมป์แรกในยูโรเปี้ยนทัวร์ได้สำเร็จ ขณะที่รัฐฟลอริด้ามีพายุฝนกระหน่ำเข้ามาทำให้ไทเกอร์ต้องแข่งถึง 5 วันก่อนที่จะกลับสู่จุดเดิมในฐานะหมายเลขหนึ่งของโลกอีกครั้งพร้อมทำสถิติคว้าแชมป์รายการเดียวกันมากที่สุด 8 สมัยเทียบเท่ากับสถิติของ แซม สนีด
ยินดีและปลาบปลื้มกับทั้งคู่เหลือเกิน คนแรกนั้นผมพบเขาครั้งแรกตั้งแต่เป็นนักกอล์ฟเยาวชน ต่อสู้ฟันฝ่าคว้าแชมป์มาทุกระดับ ถึงวันนี้โปรอาร์มได้ก้าวข้ามกำแพงไปอีกขั้นแล้วด้วยการได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแชมป์ยูโรเปี้ยนทัวร์ ก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์ก็ได้สิทธิอันดับหนึ่งของโซนเอเซียในการไปร่วมแข่ง ดิ โอเพ่น แชมเปี้ยนชิพ ยิ่งกว่านั้นคือการที่ต้องฟันฝ่าอาการต่อมไทรอยด์เป็นพิษมาโดยตลอด ส่วนอีกคนนั้นต้องต่อสู่กับสภาพปัญหาต่างๆ มากมาย ทั้งภายในและภายนอกไม่ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บหัวเข่าหรือสภาวะความกดดันที่โถมเข้ามาในช่วงที่ตกเป็นข่าวเรื่องชีวิตส่วนตัว ทั้งการปรับเปลี่ยนวงสวิงที่หลายคนมีความเห็นว่า "ดีอยู่แล้วไม่น่าเปลี่ยนแปลง" และการเปลี่ยนโปรผู้ให้คำปรึกษา รวมทั้งความมุ่งมั่นทำต่อไปตามความเชื่อของตัวเองอย่างไม่ย่อถอย เพื่อที่จะหาวงที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและสภาพปัจจุบัน จนทำให้เขาสามารถทวงตำแหน่งหมายเลขหนึ่งของโลกคืนมาหลังจากที่เขาต้องสูญเสียมันไปตั้งแต่ 31 ตุลาคม 2010 ซึ่งแชมป์นี้ถือว่าเป็นรายการที่ 3 ในฤดูกาลนี้ และเป็น 6 แชมป์ใน 19 รายการหลังสุดที่ลงแข่ง (เฉลี่ยประมาณทุกๆ 3รายการเลยทีเดียว) สถิติที่น่าทึ่งอีกอย่างก็คือ 4 ครั้งหลังสุดที่ลงแข่งในสนามเบย์ฮิลล์แห่งนี้ ไทเกอร์คว้าแชมป์ไปได้ถึง 3 ครั้งเลยทีเดียว สมกับฉายา "King of the Hill” จริงๆ
ทั้งคู่เป็นตัวอย่างและผู้ให้บทเรียนที่ดี แสดงให้เราเห็นว่าความพยายาม ความมุ่งมั่น และการทุ่มเทอย่างหนักมีอยู่จริง ทำได้จริง มีผลดีจริงๆ มิได้สูญเปล่า ในเมื่อมีให้เห็นชัดขนาดนี้แล้ว คนที่กำลังท้อแท้กับการแก้ปัญหาที่ดูเสมือนว่าไม่มีวันจบ สกอร์ที่ไม่ยอมลดซักที มีกำลังใจเยอะๆ นะครับ คนต่อมพังกับคนเข่าพังยังทำได้เลย ถ้าเชื่อว่า "เรามาถูกทางแล้ว" ความพยายามที่ยังมีอยู่ จะทำให้ได้สัมผัสกับความสำเร็จในช่วงฟ้าหลังฝนแน่นอนครับ
มาเลเซียและฟลอริด้าถึงแม้จะอยู่คนละฟากฟ้าแต่ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีเรื่องราวที่คล้ายกันอยู่หลายเรื่อง ก่อนอื่นเลยด้วยอากาศที่ร้อนจัดของประเทศมาเลเซียในการแข่งขันรายการ เมย์แบงค์ มาเลเซียน โอเพ่น ทำให้มีนักกอล์ฟยุโรปถอนตัวออกไปหลายราย ส่วนทางด้านพีจีเอ ทัวร์ ในรายการอาร์โนลด์ พาลเมอร์ อินวิเตชั่น ก็มีนักกอล์ฟยุโรปชั้นนำถอนตัวเช่นกัน หลังจากมีทั้งตีออก 9 ที่หลุม 6 พาร์ 5 และปีนต้นไม้ขึ้นไปเหนือระดับสนามกอล์ฟ 15 ฟุตเพื่อตีช็อตสอง เซอร์จิโอ การ์เซีย บอกว่าเขามีอาการเจ็บไหล่จากการตีช็อตบนต้นไม้นั้นและถอนตัวช่วงฝนตก
นอกจากนี้ฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจทำให้กอล์ฟแข่งขันกันล่าช้า แต่ต้องยอมรับว่าสัปดาห์นี้ดูกอล์ฟสนุกสนานมาก ที่มาเลเซียแข่งกันแค่ 54 หลุมก็จริง แต่ก็สมหวังตามแรงเชียร์ของคนไทยเพราะเป็นโปรอาร์ม กิรเดช ที่สามารถคว้าแชมป์แรกในยูโรเปี้ยนทัวร์ได้สำเร็จ ขณะที่รัฐฟลอริด้ามีพายุฝนกระหน่ำเข้ามาทำให้ไทเกอร์ต้องแข่งถึง 5 วันก่อนที่จะกลับสู่จุดเดิมในฐานะหมายเลขหนึ่งของโลกอีกครั้งพร้อมทำสถิติคว้าแชมป์รายการเดียวกันมากที่สุด 8 สมัยเทียบเท่ากับสถิติของ แซม สนีด
ยินดีและปลาบปลื้มกับทั้งคู่เหลือเกิน คนแรกนั้นผมพบเขาครั้งแรกตั้งแต่เป็นนักกอล์ฟเยาวชน ต่อสู้ฟันฝ่าคว้าแชมป์มาทุกระดับ ถึงวันนี้โปรอาร์มได้ก้าวข้ามกำแพงไปอีกขั้นแล้วด้วยการได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแชมป์ยูโรเปี้ยนทัวร์ ก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์ก็ได้สิทธิอันดับหนึ่งของโซนเอเซียในการไปร่วมแข่ง ดิ โอเพ่น แชมเปี้ยนชิพ ยิ่งกว่านั้นคือการที่ต้องฟันฝ่าอาการต่อมไทรอยด์เป็นพิษมาโดยตลอด ส่วนอีกคนนั้นต้องต่อสู่กับสภาพปัญหาต่างๆ มากมาย ทั้งภายในและภายนอกไม่ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บหัวเข่าหรือสภาวะความกดดันที่โถมเข้ามาในช่วงที่ตกเป็นข่าวเรื่องชีวิตส่วนตัว ทั้งการปรับเปลี่ยนวงสวิงที่หลายคนมีความเห็นว่า "ดีอยู่แล้วไม่น่าเปลี่ยนแปลง" และการเปลี่ยนโปรผู้ให้คำปรึกษา รวมทั้งความมุ่งมั่นทำต่อไปตามความเชื่อของตัวเองอย่างไม่ย่อถอย เพื่อที่จะหาวงที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและสภาพปัจจุบัน จนทำให้เขาสามารถทวงตำแหน่งหมายเลขหนึ่งของโลกคืนมาหลังจากที่เขาต้องสูญเสียมันไปตั้งแต่ 31 ตุลาคม 2010 ซึ่งแชมป์นี้ถือว่าเป็นรายการที่ 3 ในฤดูกาลนี้ และเป็น 6 แชมป์ใน 19 รายการหลังสุดที่ลงแข่ง (เฉลี่ยประมาณทุกๆ 3รายการเลยทีเดียว) สถิติที่น่าทึ่งอีกอย่างก็คือ 4 ครั้งหลังสุดที่ลงแข่งในสนามเบย์ฮิลล์แห่งนี้ ไทเกอร์คว้าแชมป์ไปได้ถึง 3 ครั้งเลยทีเดียว สมกับฉายา "King of the Hill” จริงๆ
ทั้งคู่เป็นตัวอย่างและผู้ให้บทเรียนที่ดี แสดงให้เราเห็นว่าความพยายาม ความมุ่งมั่น และการทุ่มเทอย่างหนักมีอยู่จริง ทำได้จริง มีผลดีจริงๆ มิได้สูญเปล่า ในเมื่อมีให้เห็นชัดขนาดนี้แล้ว คนที่กำลังท้อแท้กับการแก้ปัญหาที่ดูเสมือนว่าไม่มีวันจบ สกอร์ที่ไม่ยอมลดซักที มีกำลังใจเยอะๆ นะครับ คนต่อมพังกับคนเข่าพังยังทำได้เลย ถ้าเชื่อว่า "เรามาถูกทางแล้ว" ความพยายามที่ยังมีอยู่ จะทำให้ได้สัมผัสกับความสำเร็จในช่วงฟ้าหลังฝนแน่นอนครับ
