บัลติมอร์ เรฟเวนส์ คว้าแชมป์อเมริกันฟุตบอล เอ็นเอฟแอล (NFL) ฤดูกาล 2012-13 สั่งลา เรย์ รูลิส ไลน์แบ็กเกอร์จอมเก๋า หลังเอาชนะ ซานฟรานซิสโก โฟร์ตีไนเนอร์ส อย่างหวุดหวิด 34-31 ในศึกซูเปอร์ โบว์ล ครั้งที่ 47 เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
ที่นิวออร์ลีนส์ : แฟรงค์ กอร์ รันนิงแบ็ก ซานฟรานซิสโก โฟร์ตีไนเนอร์ส ถือบอลวิ่งทำระยะ 33 หลามาถึงเขตเรดโซน ทว่าทีมรับ บัลติมอร์ เรฟเวนส์ กลับต้านทานการบุกของ โคลิน เคเปอร์นิก และผองเพื่อนอยู่หมัด ทำให้พลาดโอกาสแซงขึ้นนำในช่วงท้ายเกม
เปิดฉากการแข่งขันเพียง 4 นาทีเศษ โจ แฟล็กโก จอมทัพ บัลติมอร์ เรฟเวนส์ ประเดิมทัชดาวน์จากการบุกไดรฟ์แรก เมื่อขว้างหยอดเจาะตรงกลางระยะ 13 หลาเข้ามือ อันควาน โบลดิน พาทีมขึ้นนำ 7-0 จากนั้น โคลิน เคเปอร์นิก ควอเตอร์แบ็ก ซานฟรานซิสโก โฟร์ตีไนเนอร์ส ตอบโต้ทันควัน ด้วยการพาทีมบุกมาถึงเส้น 18 หลาในแดนคู่แข่ง ก่อน เดวิด เอเคอร์ส ลงมาหวดฟิลด์โกลระยะ 36 หลาตีตื้น 3-7 ก่อนจบควอเตอร์แรก 4:36 นาที
ควอเตอร์ 2 “อีกาพญายม” ตีปีกหนี 14-3 เมื่อ แฟล็กโก เปลี่ยนการเสียฟัมเบิลของ ลาไมเคิล เจมส์ รันนิงแบ็กสำรอง เป็นคะแนนด้วยการเพลย์แอ็กชัน ก่อนปาบอลระยะ 1 หลาเสียบเข้าซอง เดนนิส พิตตา ปีกในคู่ใจ จากนั้น “คนตื่นทอง” ออกอาการร่อแร่ หลัง เคเปอร์นิก เสียอินเทอร์เซ็ปต์ตั้งแต่เพลย์แรกแก่ เอ็ด รีด เข้าสู่ช่วง 1:58 นาทีสุดท้ายของควอเตอร์ 2 เรฟเวนส์ โขยกหนี 21-3 หลัง แฟล็กโก บอมบ์ยาวเข้ามือ จาโคบี โจนส์ ที่ล้มตัวรับบอล ก่อนลุกขึ้นมาวิ่งเข้าเอนด์ โวน เป็นทัชดาวน์ระยะ 56 หลา ก่อน เดวิด เอเคอร์ส ลงมาหวดฟิลด์โกลตีตื้น 6-21 ก่อนจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ดังกล่าว
ซึ่งช่วงพักครึ่ง แฟนๆ ในเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซูเปอร์โดม ได้ตื่นตาตื่นใจไปกับการแสดง “ฮาล์ฟ ไทม โชว์” ที่ปีนี้ NFL เลือกเอา บียอนเซ นักร้องสาวผิวสีสุดเซ็กซี มาขับขานเสียงเพลง อาทิ Crazy in love กล่อมบรรดาสาวกคนชนคน พร้อมกับวง เดสตินี ไชล์ด ที่มาในเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง ชาร์ลี แองเจิลส์
ลุยต่อครึ่งหลัง กองเชียร์ “ไนเนอร์ส” แทบเงียบกริบ เมื่อ จาโคบี โจนส์ วิ่งย้อนคิกออฟระยะ 109 หลา ทิ้งห่าง 28-6 ต่อมาการแข่งขันต้องหยุดชะงักชั่วคราว หลัง โคลิน เคเปอร์นิก ถูกแซ็กเสียระยะ 6 หลา โดย อาเธอร์ โจนส์ เนื่องจากระบบไฟฟ้าขัดข้อง หลังกลับมาเล่นกันต่อ แชมป์สายเอ็นเอฟซี (NFC) หาทัชดาวน์แรกเจอ เมื่อ เคเปอร์นิก เพลย์แอ็คชัน แล้วขว้างออกทางซ้ายเข้ามือ ไมเคิล แคร็บทรี รีซีฟเวอร์คู่ใจ วิ่งเข้าเอนด์โซน ตีตื้น 13-28 ทำให้ ทีมรับโฟร์ตีไนเนอร์ส เริ่มคึกคักและหยุดทีมบุกคู่แข่งไว้ได้ในไดรฟ์ต่อมา
โมเมนตัมเริ่มเทมาทาง ซานฟรานฯ เมื่อ แฟรงค์ กอร์ รันนิงแบ็กตัวเก่ง ถือบอลวิ่งอ้อมมาทางขวาเข้าเอนด์โซน ปิดช่องว่างเหลือ 20-28 ต่อมา ทีมของ จิม ฮาร์บอห์ เริ่มมีความหวัง เมื่อ เรย์ ไรซ์ ตัววิ่งอีกา ถูกทุบบอลหลุดจากมือ ก่อน เดวิด เอเคอร์ส หวดฟิลด์โกลขยับมา 23-28 จากนั้น อดีตแชมป์ 1 สมัย อาศัยการวิ่งและขว้างสั้นฆ่าเวลาเพื่อปิดควอเตอร์ 3
เข้าสู่ควอเตอร์สุดท้าย จัสติน ทัคเกอร์ ลงมาเตะฟิลด์โกลให้ แชมป์สาย เอเอฟซี ขยับหนี 31-23 หลัง แฟล็คโก ไม่สามารถพาบอลจากเส้น 1 หลาเข้าสู่เอนด์โซนได้ จากนั้น ไนเนอร์ส เริ่มคึกคักด้วยการสร้างบิ๊กเพลย์ 2 ครั้งซ้อนจาก แรนดี มอสส์ และ แฟรงค์ กอร์ ก่อน เคเปอร์นิก ถือบอลวิ่งทำทัชดาวน์ แต่ทำ ทู พอยท์ คอนเวอร์ชัน ไม่สำเร็จ ทำให้ไล่มาเหลือ 29-31
ทีมบุก เรฟเวนส์ เริ่มคืนฟอร์มเก่ง หลังทำบิ๊กเพลย์จากการรับบอลของ แอนควาน โบลดิน และการตะลุยภาคพื้นดินของ เรย์ ไรซ์ ก่อน ทัคเกอร์ จะลงมาหวดฟิลด์โกลที่ 2 ของตัวเองขยับหนี 34-29 จากนั้น โฟร์ตีไนเนอร์ส มีลุ้นพลิกแซง เมื่อ แฟรงค์ กอร์ สร้างบิ๊กเพลย์จากการวิ่งจนมาถึงเส้น 7 หลาในแดนคู่แข่ง ทว่าทีมรับ “อีกาปากเหล็ก” กลับต้านทานการรุกของ เคเปอร์นิก อยู่หมัด จากนั้น ฮาร์บอห์ผู้พี่ สวมหัวใจสิงห์ยอมเสียเซฟตีเพื่อฆ่าเวลา ก่อนยกโทรฟี "วินซ์ ลอมบาร์ดี เป็นสมัยที่ 2 ด้วยสกอร์ 34-31
เกมนี้ โจ แฟล็กโก ควอเตอร์แบ็กตัวเก่งของ บัลติมอร์ เรฟเวนส์ คว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) หลังทำผลงานขว้างเข้าเป้า 22 จาก 33 ครั้ง 287 หลา 3 ทัชดาวน์ ไม่เสียอินเทอร์เซ็ปต์ ขณะที่ อันควาน โบลดิน รีซีฟเวอร์ร่างยักษ์ รับบอล 6 ครั้ง ระยะรวม 104 หลา 1 ทัชดาวน์ ด้าน ซานฟรานซิสโก โฟร์ตีไนเนอร์ส ที่หวิดสร้างปาฏิหาริย์ ได้ โคลิน เคเปอร์นิก ปาบอลคอมพลีท 16 จาก 28 ครั้ง 302 หลา ทำ 1 ทัชดาวน์ เสีย 1 อินเทอร์เซ็ปต์ และถือบอลวิ่ง 7 ครั้ง ระยะรวม 62 หลา ด้าน แฟรงค์ กอร์ รันนิงแบ็ก ตะลุย 110 หลา จากการถือบอล 19 ครั้ง ทำ 1 ทัชดาวน์ ส่วน ไมเคิล แคร็บทรี ปีกนอก และ เวอร์นอน เดวิส ปีกใน รับบอล 5 ครั้ง 109 หลา และ 6 ครั้ง 104 หลา ตามลำดับ ทว่าไม่ดีพอ
ภายหลัง แฟล็กโก ที่ทำสถิติเทียบเท่า โจ มอนทานา ตำนานควอเตอร์แบ็กโฟร์ตีไนเนอร์ส ที่ขว้างไป 11 ทัชดาวน์ ไม่เสียแม้แต่อินเทอร์เซปต์เดียว ออกมาเผยเชิงขอสัญญาฉบับใหม่ เพราะต้องการอยู่โยงที่บัลติมอร์ "ผมขอเป็น เรฟเวนส์ ตลอดไป นั่นเป็นสิ่งที่ผมคงได้เห็นมัน"
ด้าน จอห์น ฮาร์บอห์ ที่เอาชนะ จิม (เฮดโค้ชไนเนอร์ส) น้องชายซึ่งอายุห่างกันเพียง 15 เดือน ไม่ลืมให้เครดิต ลูอิส ที่ประกาศรีไทร์ด้วยแชมป์สมัยที่ 2 ในวัย 37 ปี “ซีรีส์สุดท้ายในอาชีพการเล่นของ เรย์ ลูอิส คือการยืนหยัดป้องกันบนโกลไลน์สแตนด์”
สำหรับ NFL มีการประกาศรางวัลต่างๆ ตอนจบฤดูกาล ปรากฏว่า เอเดรียน พีเทอร์สัน รันนิงแบ็ก มินเนโซตา ไวกิงส์ ได้โหวตเป็นผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) พร้อมผู้เล่นเกมรุกยอดเยี่ยมแห่งปี ส่วน แมนนิงผู้พี่ ได้รางวัลปลอบใจเป็นคัมแบ็ก ออฟ เดอะ เยียร์ ด้าน โรเบิร์ต กริฟฟิน เดอะ เธิร์ด จอมทัพ วอชิงตัน เรดสกินส์ ได้รุคกี้เกมบุกตามคาด ลุค คูอีสลี ไลน์แบ็กเกอร์ แคโรไลนา แพนเธอร์ส ซิวรุคกี้เกมรับ ขณะที่ เจ.เจ.วัตต์ ยอดดีเฟนด์ซีฟ เอนด์ ฮุสตัน เท็กแซนส์ คว้าตำแหน่งผู้เล่นเกมรับยอดเยี่ยม ปิดท้ายด้วยโค้ชแห่งปีเป็นของ บรุซ เอเดรียนส์ ซึ่้งคุมบังเหียนโคลต์ส ชนะ 9 แพ้ 3 ช่วงที่ ชัค ปากาโน หัวหน้าโค้ชต้องลาทีมไปรักษามะเร็ง
ที่นิวออร์ลีนส์ : แฟรงค์ กอร์ รันนิงแบ็ก ซานฟรานซิสโก โฟร์ตีไนเนอร์ส ถือบอลวิ่งทำระยะ 33 หลามาถึงเขตเรดโซน ทว่าทีมรับ บัลติมอร์ เรฟเวนส์ กลับต้านทานการบุกของ โคลิน เคเปอร์นิก และผองเพื่อนอยู่หมัด ทำให้พลาดโอกาสแซงขึ้นนำในช่วงท้ายเกม
เปิดฉากการแข่งขันเพียง 4 นาทีเศษ โจ แฟล็กโก จอมทัพ บัลติมอร์ เรฟเวนส์ ประเดิมทัชดาวน์จากการบุกไดรฟ์แรก เมื่อขว้างหยอดเจาะตรงกลางระยะ 13 หลาเข้ามือ อันควาน โบลดิน พาทีมขึ้นนำ 7-0 จากนั้น โคลิน เคเปอร์นิก ควอเตอร์แบ็ก ซานฟรานซิสโก โฟร์ตีไนเนอร์ส ตอบโต้ทันควัน ด้วยการพาทีมบุกมาถึงเส้น 18 หลาในแดนคู่แข่ง ก่อน เดวิด เอเคอร์ส ลงมาหวดฟิลด์โกลระยะ 36 หลาตีตื้น 3-7 ก่อนจบควอเตอร์แรก 4:36 นาที
ควอเตอร์ 2 “อีกาพญายม” ตีปีกหนี 14-3 เมื่อ แฟล็กโก เปลี่ยนการเสียฟัมเบิลของ ลาไมเคิล เจมส์ รันนิงแบ็กสำรอง เป็นคะแนนด้วยการเพลย์แอ็กชัน ก่อนปาบอลระยะ 1 หลาเสียบเข้าซอง เดนนิส พิตตา ปีกในคู่ใจ จากนั้น “คนตื่นทอง” ออกอาการร่อแร่ หลัง เคเปอร์นิก เสียอินเทอร์เซ็ปต์ตั้งแต่เพลย์แรกแก่ เอ็ด รีด เข้าสู่ช่วง 1:58 นาทีสุดท้ายของควอเตอร์ 2 เรฟเวนส์ โขยกหนี 21-3 หลัง แฟล็กโก บอมบ์ยาวเข้ามือ จาโคบี โจนส์ ที่ล้มตัวรับบอล ก่อนลุกขึ้นมาวิ่งเข้าเอนด์ โวน เป็นทัชดาวน์ระยะ 56 หลา ก่อน เดวิด เอเคอร์ส ลงมาหวดฟิลด์โกลตีตื้น 6-21 ก่อนจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ดังกล่าว
ซึ่งช่วงพักครึ่ง แฟนๆ ในเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซูเปอร์โดม ได้ตื่นตาตื่นใจไปกับการแสดง “ฮาล์ฟ ไทม โชว์” ที่ปีนี้ NFL เลือกเอา บียอนเซ นักร้องสาวผิวสีสุดเซ็กซี มาขับขานเสียงเพลง อาทิ Crazy in love กล่อมบรรดาสาวกคนชนคน พร้อมกับวง เดสตินี ไชล์ด ที่มาในเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง ชาร์ลี แองเจิลส์
ลุยต่อครึ่งหลัง กองเชียร์ “ไนเนอร์ส” แทบเงียบกริบ เมื่อ จาโคบี โจนส์ วิ่งย้อนคิกออฟระยะ 109 หลา ทิ้งห่าง 28-6 ต่อมาการแข่งขันต้องหยุดชะงักชั่วคราว หลัง โคลิน เคเปอร์นิก ถูกแซ็กเสียระยะ 6 หลา โดย อาเธอร์ โจนส์ เนื่องจากระบบไฟฟ้าขัดข้อง หลังกลับมาเล่นกันต่อ แชมป์สายเอ็นเอฟซี (NFC) หาทัชดาวน์แรกเจอ เมื่อ เคเปอร์นิก เพลย์แอ็คชัน แล้วขว้างออกทางซ้ายเข้ามือ ไมเคิล แคร็บทรี รีซีฟเวอร์คู่ใจ วิ่งเข้าเอนด์โซน ตีตื้น 13-28 ทำให้ ทีมรับโฟร์ตีไนเนอร์ส เริ่มคึกคักและหยุดทีมบุกคู่แข่งไว้ได้ในไดรฟ์ต่อมา
โมเมนตัมเริ่มเทมาทาง ซานฟรานฯ เมื่อ แฟรงค์ กอร์ รันนิงแบ็กตัวเก่ง ถือบอลวิ่งอ้อมมาทางขวาเข้าเอนด์โซน ปิดช่องว่างเหลือ 20-28 ต่อมา ทีมของ จิม ฮาร์บอห์ เริ่มมีความหวัง เมื่อ เรย์ ไรซ์ ตัววิ่งอีกา ถูกทุบบอลหลุดจากมือ ก่อน เดวิด เอเคอร์ส หวดฟิลด์โกลขยับมา 23-28 จากนั้น อดีตแชมป์ 1 สมัย อาศัยการวิ่งและขว้างสั้นฆ่าเวลาเพื่อปิดควอเตอร์ 3
เข้าสู่ควอเตอร์สุดท้าย จัสติน ทัคเกอร์ ลงมาเตะฟิลด์โกลให้ แชมป์สาย เอเอฟซี ขยับหนี 31-23 หลัง แฟล็คโก ไม่สามารถพาบอลจากเส้น 1 หลาเข้าสู่เอนด์โซนได้ จากนั้น ไนเนอร์ส เริ่มคึกคักด้วยการสร้างบิ๊กเพลย์ 2 ครั้งซ้อนจาก แรนดี มอสส์ และ แฟรงค์ กอร์ ก่อน เคเปอร์นิก ถือบอลวิ่งทำทัชดาวน์ แต่ทำ ทู พอยท์ คอนเวอร์ชัน ไม่สำเร็จ ทำให้ไล่มาเหลือ 29-31
ทีมบุก เรฟเวนส์ เริ่มคืนฟอร์มเก่ง หลังทำบิ๊กเพลย์จากการรับบอลของ แอนควาน โบลดิน และการตะลุยภาคพื้นดินของ เรย์ ไรซ์ ก่อน ทัคเกอร์ จะลงมาหวดฟิลด์โกลที่ 2 ของตัวเองขยับหนี 34-29 จากนั้น โฟร์ตีไนเนอร์ส มีลุ้นพลิกแซง เมื่อ แฟรงค์ กอร์ สร้างบิ๊กเพลย์จากการวิ่งจนมาถึงเส้น 7 หลาในแดนคู่แข่ง ทว่าทีมรับ “อีกาปากเหล็ก” กลับต้านทานการรุกของ เคเปอร์นิก อยู่หมัด จากนั้น ฮาร์บอห์ผู้พี่ สวมหัวใจสิงห์ยอมเสียเซฟตีเพื่อฆ่าเวลา ก่อนยกโทรฟี "วินซ์ ลอมบาร์ดี เป็นสมัยที่ 2 ด้วยสกอร์ 34-31
เกมนี้ โจ แฟล็กโก ควอเตอร์แบ็กตัวเก่งของ บัลติมอร์ เรฟเวนส์ คว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) หลังทำผลงานขว้างเข้าเป้า 22 จาก 33 ครั้ง 287 หลา 3 ทัชดาวน์ ไม่เสียอินเทอร์เซ็ปต์ ขณะที่ อันควาน โบลดิน รีซีฟเวอร์ร่างยักษ์ รับบอล 6 ครั้ง ระยะรวม 104 หลา 1 ทัชดาวน์ ด้าน ซานฟรานซิสโก โฟร์ตีไนเนอร์ส ที่หวิดสร้างปาฏิหาริย์ ได้ โคลิน เคเปอร์นิก ปาบอลคอมพลีท 16 จาก 28 ครั้ง 302 หลา ทำ 1 ทัชดาวน์ เสีย 1 อินเทอร์เซ็ปต์ และถือบอลวิ่ง 7 ครั้ง ระยะรวม 62 หลา ด้าน แฟรงค์ กอร์ รันนิงแบ็ก ตะลุย 110 หลา จากการถือบอล 19 ครั้ง ทำ 1 ทัชดาวน์ ส่วน ไมเคิล แคร็บทรี ปีกนอก และ เวอร์นอน เดวิส ปีกใน รับบอล 5 ครั้ง 109 หลา และ 6 ครั้ง 104 หลา ตามลำดับ ทว่าไม่ดีพอ
ภายหลัง แฟล็กโก ที่ทำสถิติเทียบเท่า โจ มอนทานา ตำนานควอเตอร์แบ็กโฟร์ตีไนเนอร์ส ที่ขว้างไป 11 ทัชดาวน์ ไม่เสียแม้แต่อินเทอร์เซปต์เดียว ออกมาเผยเชิงขอสัญญาฉบับใหม่ เพราะต้องการอยู่โยงที่บัลติมอร์ "ผมขอเป็น เรฟเวนส์ ตลอดไป นั่นเป็นสิ่งที่ผมคงได้เห็นมัน"
ด้าน จอห์น ฮาร์บอห์ ที่เอาชนะ จิม (เฮดโค้ชไนเนอร์ส) น้องชายซึ่งอายุห่างกันเพียง 15 เดือน ไม่ลืมให้เครดิต ลูอิส ที่ประกาศรีไทร์ด้วยแชมป์สมัยที่ 2 ในวัย 37 ปี “ซีรีส์สุดท้ายในอาชีพการเล่นของ เรย์ ลูอิส คือการยืนหยัดป้องกันบนโกลไลน์สแตนด์”
สำหรับ NFL มีการประกาศรางวัลต่างๆ ตอนจบฤดูกาล ปรากฏว่า เอเดรียน พีเทอร์สัน รันนิงแบ็ก มินเนโซตา ไวกิงส์ ได้โหวตเป็นผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) พร้อมผู้เล่นเกมรุกยอดเยี่ยมแห่งปี ส่วน แมนนิงผู้พี่ ได้รางวัลปลอบใจเป็นคัมแบ็ก ออฟ เดอะ เยียร์ ด้าน โรเบิร์ต กริฟฟิน เดอะ เธิร์ด จอมทัพ วอชิงตัน เรดสกินส์ ได้รุคกี้เกมบุกตามคาด ลุค คูอีสลี ไลน์แบ็กเกอร์ แคโรไลนา แพนเธอร์ส ซิวรุคกี้เกมรับ ขณะที่ เจ.เจ.วัตต์ ยอดดีเฟนด์ซีฟ เอนด์ ฮุสตัน เท็กแซนส์ คว้าตำแหน่งผู้เล่นเกมรับยอดเยี่ยม ปิดท้ายด้วยโค้ชแห่งปีเป็นของ บรุซ เอเดรียนส์ ซึ่้งคุมบังเหียนโคลต์ส ชนะ 9 แพ้ 3 ช่วงที่ ชัค ปากาโน หัวหน้าโค้ชต้องลาทีมไปรักษามะเร็ง