ASTV ผู้จัดการรายวัน - การจับมือระหว่าง “พันธมิตรลูกหนัง” เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สามารถผลักดันแต่ละสโมสรให้ประสบความสำเร็จ จากการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน โดยการเหินฟ้าไปทดสอบฝีเท้าร่วมกับ แอตเลติโก มาดริด บิ๊กทีมแห่งลา ลีกา สเปน ของ ธีรศิลป์ แดงดา ดาวยิงค่าย เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด คงเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีบันไดขั้นแรกในความไว้ใจจนบรรลุสัญญาร่วมกันระหว่าง “กิเลนผยอง” และ “ตราหมี” ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาวงการฟุตบอลไทย
เอสซีจี เมืองทองฯ อาจไม่ใช่สโมสรแรกที่จับมือเป็นพันธมิตรกับสโมสรต่างแดน แต่ “กิเลนผยอง” พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถใช้ประโยชน์จากการเซ็นสัญญาร่วมกันได้อย่างคุ้มค่า การเดินทางมาฟาดแข้งนัดพิเศษของ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน ยักษ์ใหญ่ เอเรดิวีซี ลีก ฮอลแลนด์ จากการสนับสนุนของ บริษัท เอไอเอ ถือเป็นแมตช์ระหว่างสโมสรด้วยกันเองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาไปอีกขั้น เพราะก่อนหน้านี้ สโมสรจากยุโรปที่ถูกเชิญมาจะแข่งขันกับทีมชาติ หรือทีมออลสตาร์ไทย เท่านั้น
จากนั้น “กิเลนผยอง” ดันนักเตะไปร่วมซ้อมกับทีมชุดใหญ่ของ แอต.มาดริด ในสเปน หลังเปิดตัวเซ็นสัญญาร่วมกัน เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ปี 2010 ซึ่งถือเป็นเรื่องยากในปัจจุบันที่ทีมระดับท็อปของทวีปยุโรป จะเปิดให้นักเตะจากภูมิภาคอาเซียนได้เดินทางไปพิสูจน์ฝีเท้า เพื่อให้แมวมองชั้นนำจากทุกมุมโลกได้รับชม
รณฤทธิ์ ซื่อวาจา ผู้อำนวยการสโมสรเมืองทองฯ เผยถึงการเตรียมการในครั้งนี้ว่า “ความจริงแล้วสโมสรระดับโลกถือเป็นเป้าหมายของเรา ที่จะช่วยล่นระยะเวลาในการประสบความสำเร็จ โชคดีที่ทาง แอต.มาดริด ซึ่งกำลังต้องการขยายฐานเข้ามาในเอเชีย เล็งเห็นถึงศักยภาพที่เรามี อีกทั้งยังมีสีประจำทีมที่ตรงกัน จึงได้มีการพูดคุยกันถึงการเติบโตของฟุตบอลไทย รวมถึงการจัดการที่เป็นมืออาชีพของ เมืองทองฯ จนนำมาสู่การเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกัน ถือเป็นประโยชน์ในทุกด้านสำหรับเรา ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนนักเตะเยาวชน สตาฟฟ์โค้ช เน็ตเวิร์ก เราสามารถไปศึกษาดูงานได้ทุกเรื่อง”
“จุดประสงค์ของการร่วมมือกัน คือ การแลกเปลี่ยนทรัพยากรด้านต่างๆ แม้อาจยังไม่ใช่ ณ วันนี้ แต่หวังว่าในอนาคต เมืองทองฯ จะสามารถมีสิ่งตอบกลับไปได้เช่นกัน เราจึงทำงานอย่างหนักเพื่อยกระดับตัวเอง ตอนนี้ทางสโมสรมีสายสัมพันธ์อยู่ทั่วโลก เช่น จูบิโล อิวาตะ (ญี่ปุ่น) ในเอเชีย อินเตอร์นาซิอองนาล (บราซิล) ในอเมริกาใต้ ถ้าวันนั้นมาถึงเราอาจได้เห็นนักเตะไทยไปค้าแข้งกับสโมสรเหล่านี้ก็เป็นได้”
นอกจาก เอสซีจี เมืองทองฯ หลายทีมชั้นนำในไทยพรีเมียร์ลีก เริ่มให้ความสำคัญกับการมีพันธมิตรลูกหนังต่างแดน “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จากพลังหนุนของ “คิง เพาเวอร์” ที่เข้าไปเทกโอเวอร์สโมสรเลสเตอร์ ซิตี ในเอ็นพาวเวอร์ แชมเปียนชิป อังกฤษ ทำให้ยักษ์ใหญ่แดนอีสาน สามารถส่งนักเตะไปร่วมฝึกซ้อมกับ “สุนัขจิ้งจอก” ได้ตั้งแต่ระดับเยาวชนจนชุดใหญ่ โดยเฉพาะระดับอะคาเดมี ที่ไปฟูมฟักชุบตัวกันเป็นปีๆ เพื่อกลับมาเป็นแกนหลักของทีม รวมถึงการมีคอนเนกชันทางธุรกิจ เพื่อซื้อขาย และแลกเปลี่ยนนักเตะกันต่อไป
ขณะที่ “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี มีความสนิทชิดเชื้อกับประเทศญี่ปุ่น เซ็นสัญญาพันธมิตรกับ วิสเซล โกเบ ใน เจ-ลีก โดยเน้นการแลกเปลี่ยนศาสตร์ความรู้ทางด้านฟุตบอล รวมถึงการพัฒนาระดับเยาวชนเป็นหลัก ล่าสุด ฉลามน้อยชุด ยู-12 ปี สร้างชื่อก้องแดนอาทิตย์อุทัย ผงาดคว้าแชมป์ วิสเซล โกเบ คัพ 2012 ด้วยผลงานชนะรวด 6 นัด ตลอดจน พัทยา ยูไนเต็ด ที่เตรียมร่วมมือกับ แดจอน ซิตีเซ็น จากเคลีก เกาหลีใต้
ข้างต้นเหล่านี้ถือเป็นประโยชน์จากการจับมือระหว่าง “พันธมิตรลูกหนัง” เป็นแบบแผนที่กำลังได้รับความนิยมในแวดวงฟุตบอลยุคใหม่ ด้วยประโยชน์รอบด้านทั้งการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพ ชื่อเสียง ผลงานในสนาม การจับมือทางการตลาด การบริหารจัดการ การแลกเปลี่ยนเทคนิคความรู้ รวมถึงนักเตะซึ่งกันและกัน คงขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายใดสามารถต่อยอดนำมาทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้เพียงใด ความสำเร็จก็สามารถก่อเกิดได้ในระยะเวลาอันใกล้มากขึ้นเท่านั้น