คอลัมน์ “ริงไซด์ ไฟต์คลับ” โดย “ลักษมณ์ นันทิวัชรินทร์”
เปิดศักราชใหม่มาวงการมวยโลกเราหงอยน่าดู เพราะเมื่อวันสิ้นปีนักชกไทยขึ้นเวทีระดับโลก (ของจริง) ถึง 2 รายด้วยกันก่อนจะแพ้ไปทั้งคู่ เริ่มจากช่วงบ่าย เทพฤทธิ์ ก่อเกียรติเจนิฟู้ดยิม ฉลองชื่อค่ายใหม่ยาวเฟื้อย ด้วยการขึ้นไปรับหมัดของ โคโนะ ชาวญี่ปุ่นรุ่นลายครามวัย 32 ปี โดนนับแล้วนับอีก สุดท้ายพ่ายน็อกไปแค่ยก 4 อีกคน พรสวรรค์ กระทิงแดงยิม เดินลุยกับ เรียว มิยาซากิ จนเอียงไปเอียงมา ก่อนครบ 12 ยก พ่ายคะแนนไปแบบทีมงานคาใจ สรุปแล้วญี่ปุ่นล้างคอกนักมวยไทยส่งท้ายปี 2012 ทำให้ตอนนี้ทำเนียบแชมป์โลกชาวไทยเลยเหลือ ผึ้งหลวง ส.สิงห์อยู่ แค่คนเดียว
แฟนมวยที่ติดตามแวดวงกำปั้นไทยมาตลอด คงเห็นแล้วว่านักมวยสากลอาชีพของเราเชิงไปไม่ถึงไหนเลย ยืนเท้าตาย ไม่มีฟุตเวิร์ก ไร้หมัดแย็ป อาศัยค้ำแล้วต่อย เอวแข็งไม่มีการโยกตัว แถมยังการ์ดไม่แน่นอีกต่างหาก คนที่ประสบความสำเร็จได้นั้น ถ้าไม่ใช่ทีมงานดี ส่องกล้องแม่น ก็ต้องมีดีจริงๆ ประเภทอึดจริงและหมัดหนักพอ แต่กระนั้นถ้าเจอของแข็งก็เสร็จทุกราย ไม่มีใครสามารถป้องกันตำแหน่งไว้ได้สวยๆ นานๆ จนเป็นขวัญใจชาวไทย อย่างที่ เขาทราย กาแล็คซี เคยทำได้ หรือแม้แต่ พงษ์ศักดิ์เล็ก หรือ วีระพล ส่วนใหญ่คว้าตำแหน่งมาได้ป้องกันไม่กี่ครั้งก็ส่งมอบเข็มขัดคืนออกไปทุกราย
ที่ผ่านมา มวยสากลอาชีพไทย ถือว่ายิ่งใหญ่ในเวทีโลก มีแชมป์มากมาย ได้รับการยอมรับหลายคน แต่เวลาผ่านมาร่วม 50 ปี นับจาก โผน กิ่งเพชร เราก็ยังคงวนเวียนอยู่ในการฝึกกันเอง สอนกันเอง ควบคุมกันเองอยู่ ไม่มีการใช้โค้ชที่มีความสามารถในเชิงมวยสากลจริงๆ ไม่มีการสร้างพื้นฐาน ไม่มีการใช้วิทยาศาสตร์การกีฬามาช่วยเรื่องการพัฒนาศักยภาพนักมวย เรายังบีบน้ำหนักให้นักมวยเราอยู่รุ่นเล็ก และทำน้ำหนักด้วยการปล่อยให้เกินไว้ก่อน ค่อยไปโหมลดในไม่กี่วันสุดท้าย พอชั่งผ่านแล้วก็อัดอาหารกลับเข้าไปจนพุ่งขึ้นมาเป็นสิบปอนด์ แล้วบอกว่าได้เปรียบ เรายังทุ่มทุนในการเตรียมตัวด้วยการเอาซุปไก่ให้นักมวยกินบำรุงกำลังอยู่เลย
เหนือสิ่งอื่นใด นักมวยเรายังขึ้นอุ่นเครื่องตอนบ่ายสามโมง กับนักมวยฟิลิปปินส์บ้าง อินโดนีเซียบ้าง ที่มีสถิติประเภท ชก 12 ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 9 (ไม่ได้พาดพึงถึงใครเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพเท่านั้น) ผู้ประกาศก็ไม่กล้าเอ่ยสถิติเหล่านี้ออกอากาศ ไล่ต่อยไป 3-4 ยกผู้บรรยายก็จะบอก “โอ..กรรมการต้องดูแล้วครับ” ต่อยไปอีก 2-3 หมัด กรรมการก็จะจับนักมวยคู่ชกแพ้ เราถึงไม่พัฒนาฝีมือ เคยชินแต่การไล่ต่อยคู่ชกแบบนี้ ไม่มีการป้องกันตัว ไม่เคยเผชิญสถานการณ์คับขัน ไม่เคยถูกต่อยล้มต่อยนับ เวลาออกไปเวทีระดับโลกจริงๆ ไปโดนนับเข้าก็รีบลุกทั้งๆ ที่ยังไม่หายมึน ติดแบบมวยไทยกลัวจะเสียรูปมวย พอกรรมการให้ชกต่อก็ไม่มีประสบการณ์ในการประคองตัว ไม่รู้จักเข้ากอดถ่วงเวลา ไม่รู้จักการสวมหมวกกันน็อก ดีแต่คอยจะไปบวกกับเขา หวังจะต่อยเขานับบ้างเพื่อเอาคืน ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่พร้อม สุดท้ายก็โดนต่อยร่วง ทุกวันนี้ถึงไม่มีขวัญใจไว้ติดตามจริงๆ ที่ตามดูก็ดูเอามันเท่านั้น
เปิดศักราชใหม่มาวงการมวยโลกเราหงอยน่าดู เพราะเมื่อวันสิ้นปีนักชกไทยขึ้นเวทีระดับโลก (ของจริง) ถึง 2 รายด้วยกันก่อนจะแพ้ไปทั้งคู่ เริ่มจากช่วงบ่าย เทพฤทธิ์ ก่อเกียรติเจนิฟู้ดยิม ฉลองชื่อค่ายใหม่ยาวเฟื้อย ด้วยการขึ้นไปรับหมัดของ โคโนะ ชาวญี่ปุ่นรุ่นลายครามวัย 32 ปี โดนนับแล้วนับอีก สุดท้ายพ่ายน็อกไปแค่ยก 4 อีกคน พรสวรรค์ กระทิงแดงยิม เดินลุยกับ เรียว มิยาซากิ จนเอียงไปเอียงมา ก่อนครบ 12 ยก พ่ายคะแนนไปแบบทีมงานคาใจ สรุปแล้วญี่ปุ่นล้างคอกนักมวยไทยส่งท้ายปี 2012 ทำให้ตอนนี้ทำเนียบแชมป์โลกชาวไทยเลยเหลือ ผึ้งหลวง ส.สิงห์อยู่ แค่คนเดียว
แฟนมวยที่ติดตามแวดวงกำปั้นไทยมาตลอด คงเห็นแล้วว่านักมวยสากลอาชีพของเราเชิงไปไม่ถึงไหนเลย ยืนเท้าตาย ไม่มีฟุตเวิร์ก ไร้หมัดแย็ป อาศัยค้ำแล้วต่อย เอวแข็งไม่มีการโยกตัว แถมยังการ์ดไม่แน่นอีกต่างหาก คนที่ประสบความสำเร็จได้นั้น ถ้าไม่ใช่ทีมงานดี ส่องกล้องแม่น ก็ต้องมีดีจริงๆ ประเภทอึดจริงและหมัดหนักพอ แต่กระนั้นถ้าเจอของแข็งก็เสร็จทุกราย ไม่มีใครสามารถป้องกันตำแหน่งไว้ได้สวยๆ นานๆ จนเป็นขวัญใจชาวไทย อย่างที่ เขาทราย กาแล็คซี เคยทำได้ หรือแม้แต่ พงษ์ศักดิ์เล็ก หรือ วีระพล ส่วนใหญ่คว้าตำแหน่งมาได้ป้องกันไม่กี่ครั้งก็ส่งมอบเข็มขัดคืนออกไปทุกราย
ที่ผ่านมา มวยสากลอาชีพไทย ถือว่ายิ่งใหญ่ในเวทีโลก มีแชมป์มากมาย ได้รับการยอมรับหลายคน แต่เวลาผ่านมาร่วม 50 ปี นับจาก โผน กิ่งเพชร เราก็ยังคงวนเวียนอยู่ในการฝึกกันเอง สอนกันเอง ควบคุมกันเองอยู่ ไม่มีการใช้โค้ชที่มีความสามารถในเชิงมวยสากลจริงๆ ไม่มีการสร้างพื้นฐาน ไม่มีการใช้วิทยาศาสตร์การกีฬามาช่วยเรื่องการพัฒนาศักยภาพนักมวย เรายังบีบน้ำหนักให้นักมวยเราอยู่รุ่นเล็ก และทำน้ำหนักด้วยการปล่อยให้เกินไว้ก่อน ค่อยไปโหมลดในไม่กี่วันสุดท้าย พอชั่งผ่านแล้วก็อัดอาหารกลับเข้าไปจนพุ่งขึ้นมาเป็นสิบปอนด์ แล้วบอกว่าได้เปรียบ เรายังทุ่มทุนในการเตรียมตัวด้วยการเอาซุปไก่ให้นักมวยกินบำรุงกำลังอยู่เลย
เหนือสิ่งอื่นใด นักมวยเรายังขึ้นอุ่นเครื่องตอนบ่ายสามโมง กับนักมวยฟิลิปปินส์บ้าง อินโดนีเซียบ้าง ที่มีสถิติประเภท ชก 12 ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 9 (ไม่ได้พาดพึงถึงใครเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพเท่านั้น) ผู้ประกาศก็ไม่กล้าเอ่ยสถิติเหล่านี้ออกอากาศ ไล่ต่อยไป 3-4 ยกผู้บรรยายก็จะบอก “โอ..กรรมการต้องดูแล้วครับ” ต่อยไปอีก 2-3 หมัด กรรมการก็จะจับนักมวยคู่ชกแพ้ เราถึงไม่พัฒนาฝีมือ เคยชินแต่การไล่ต่อยคู่ชกแบบนี้ ไม่มีการป้องกันตัว ไม่เคยเผชิญสถานการณ์คับขัน ไม่เคยถูกต่อยล้มต่อยนับ เวลาออกไปเวทีระดับโลกจริงๆ ไปโดนนับเข้าก็รีบลุกทั้งๆ ที่ยังไม่หายมึน ติดแบบมวยไทยกลัวจะเสียรูปมวย พอกรรมการให้ชกต่อก็ไม่มีประสบการณ์ในการประคองตัว ไม่รู้จักเข้ากอดถ่วงเวลา ไม่รู้จักการสวมหมวกกันน็อก ดีแต่คอยจะไปบวกกับเขา หวังจะต่อยเขานับบ้างเพื่อเอาคืน ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่พร้อม สุดท้ายก็โดนต่อยร่วง ทุกวันนี้ถึงไม่มีขวัญใจไว้ติดตามจริงๆ ที่ตามดูก็ดูเอามันเท่านั้น