เรื่องราวความขัดแย้งระหว่าง หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าของลิเวอร์พูล และ ปาทริซ เอฟรา แบ็กซ้าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ส่อแววไม่มีวันจบง่ายๆ หลังหัวหอกชาวอุรุกวัย ออกมากล่าวหา “ผีแดง” ทำนองใช้อำนาจมืด กดดันให้สมาคมฟุตบอลของอังกฤษ (เอฟเอ) สั่งแบนตนเองห้ามลงสนาม 8 นัด จากคดีเหยียดผิว เอฟรา ในเกมแดงเดือด เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา
ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว กองหน้าวัย 25 ปี ชาวอุรุกวัย ถูกสมาคมฟุตบอลของอังกฤษ สั่งแบน 8 นัด ข้อหาพูดจาเหยียดผิวใส่ เอฟรา ในเกมแดงเดือดนัดแรก เดือนตุลาคม ทว่า เมื่อพ้นโทษกลับมาลงสนามให้กับทีมในเกมแดงเดือด นัดสอง ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ซัวเรซ ตกเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง เมื่อเจ้าตัวปฏิเสธที่จะจับมือก่อนเกมกับแบ็กซ้ายเลือดเฟรนช์ จนโดนวิจารณ์อย่างหนัก
ซัวเรซ ที่เดินทางมารับใช้ทีมชาติอรุกวัย ในศึกฟุตบอลโอลิมปิก 2012 ขัดคำสั่งของต้นสังกัดที่สั่งห้ามพูดถึงเรื่องความขัดแย้งที่ผ่านมาอีก เปิดใจกับสื่อบ้านเกิดที่ตามมาทำข่าวถึงอังกฤษอย่างหมดเปลือก ทำนองว่า ตัวเองคือเหยื่อของ “ผีแดง” ที่วางแผนใช้เหตุความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เพื่อหยุดยั้งตนกับลิเวอร์พูล จากการแข่งขันในพรีเมียร์ชิป
โดย ซัวเรซ ยังยืนยันคำตอบเดิมว่า ตนตั้งใจที่จะจับมือกับ เอฟรา เพื่อยุติปัญหา แต่กลายเป็นคู่กรณีที่ไม่ยอมทำตามมากกว่า โดยกล่าวว่า “ถือเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดอย่างร้ายแรง สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเอฟรา ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ความเป็นจริง ผมคิดว่า นี่คือ การจัดฉาก ผมสัญญากับภรรยา ผู้จัดการทีม และผู้บริหาร ว่า จะออกไปจับมือ ผมไม่มีปัญหากับเขาเลย แม้ผมจะโดนลงโทษเพราะเขาก็ตาม”
กองหน้าชาวอุรุกวัย ที่อ้างว่า รู้สึกเสียใจจนน้ำตาร่วง หลังโดนแบนจากคดีเหยียดผิวเมื่อเดือนธันวาคม เปิดเผยต่อว่า “สื่อที่อังกฤษนั้น แสดงให้เห็นจังหวะที่ผมเดินผ่านหน้าเขาไปแบบหน้าตาเฉย แต่พวกเขากลับไม่เห็นว่า เอฟรา ได้ลดมือลงไปก่อนหน้านี้ มีเพียงแค่สื่อของอุรุกวัย และ สเปน เท่านั้น ที่ฉายภาพให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าผมต้องการที่จะจับมือกับเขามากเพียงใด”
“ข้อกล่าวหานั้น มันผูกมัดผมมาตลอด ตอนที่ผมนั่งแท็กซีไปแมนเชสเตอร์ เพื่อรับฟังการสอบสวน ผมตื่นนอนตอน 7 โมงเช้า แล้วกลับมาอีกทีตอน 3 ทุ่มของคืนนั้น ผมรู้สึกหมดแรง เหนื่อย อยากจะร้องไห้และอยากเตะทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ตัว แต่ผมทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะลูกสาวอยู่ในบ้าน ถือเป็นวันที่แย่และมันก็หนักขึ้นเรื่อยๆหลังถูกลงโทษ”
“หลายคนที่สโมสรมั่นใจว่า นี่คือ แผนที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จงใจทำให้ผมออกจากทีมไปและหยุดยั้งลิเวอร์พูลในการแข่งขัน ซึ่งที่อังกฤษนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีอิทธิพลในเรื่องการเมืองหลังฉากพอสมควร คุณเองก็ต้องเคารพในสิ่งนั้นและก็ต้องหุบปากของตัวเองห้ามพูดอะไรอีกด้วย” ดาวยิงชาวอุรุกวัย ฉะไม่ไว้หน้า