เอเยนซี-ถ้วย พรีเมียร์ชิป ที่ว่ากันว่าเตรียมหอบหิ้วไปฉลองกันยังถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มีอันต้องเบรกไว้ก่อน เมื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยนำห่างถึง 8 แต้ม สะดุดขาตนเอง จนต้องมาตัดสินแชมป์กันเกมไปเยือน อิติฮัด สเตเดียม ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี วันจันทร์ที่ 30 เมษายนนี้ โดย “ผีแดง” อยู่ภายใต้ข้อแม้จะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด
ประสบการณ์ระดับ แมนฯยู กลับทำตัวเองให้เหนื่อยเมื่อเล่นกันแบบไร้แรงกระตุ้นจนบุกพ่าย วีแกน แอธเลติก 0-1 ตามด้วยเกมล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน ที่ผ่านมา น่าเจ็บใจกว่าเปิด โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด นำ เอฟเวอร์ตัน 4-2 สุดท้ายได้เพียงแค่แชร์แต้ม ผิดกับ แมนฯซิตี ชนะมา 3 นัดรวด หลังเกมแพ้ อาร์เซนอล เมื่อต้นเดือนเมษายน ที่น่าจะปิดโอกาสคว้าแชมป์ไปแล้ว แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร “แชมป์เก่า” ต้องไปเยือนท่ามกลางความกดดันนำอยู่แค่ 3 แต้ม แถมลูกได้เสียเป็นรองถึง 6 ประตู
แม้ว่า แมนฯซิตี เป็นทีมเดียวที่ยังไร้พ่ายในถิ่นฤดูกาลนี้ แต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กระตุ้นลูกทีมให้หวังถึง 3 แต้ม เนื่องจาก แมนฯยู เคยบุกชนะมาแล้วถ้วย เอฟเอ คัพ รอบ 3 ด้วยสกอร์ 3-2 เมื่อต้นปี 2012 ที่สำคัญ เป็นการนำห่างก่อนถึง 3-0 อย่างไรก็ตาม คงไม่อาจลบรอยแค้นที่ “ผีแดง” แพ้คาถิ่น 1-6 นัดแรกเกมลีกที่เจอกัน 3 ปีหลัง “เรือใบสีฟ้า” ยกระดับขึ้นมา จนทั้งคู่มีเกมดรามาเกิดขึ้นมากมาย ทว่า แมตช์นี้สำคัญ และความหมายมากที่สุดใครชนะอาจหมายถึงแชมป์ในบั้นปลายที่แสนหอมหวาน เพราะกระชากมาจากอ้อมอกอริร่วมเมือง
“ผมคิดว่าใครชนะทุกอย่างเป็นอันจบตัดสินแชมป์กันที่นี่ แม้ แมนฯซิตี ต้องไปเยือน นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด แต่แข็งแกร่ง และมีโอกาสดีมากกว่า หากเราเสมอก็จะกลายเป็นตัวเต็งที่จะเข้าป้ายอย่างไม่ต้องสงสัย 2 เกมที่เหลือเหย้ากับเยือนอย่างละนัด ค่อนข้างน่าพอใจ แต่เราจะยังไม่คุยถึงเกมที่ผลยังไม่ออกมา เพราะไม่สำคัญกับช่วงที่เหลืออีกต่อไปแล้ว เจ้าถิ่นยังไม่แพ้ในบ้านก็จริง แต่เราก็มีสถิติเกมเยือนที่เหลือเชื่อมาก ซึ่งก็ไม่มีประโยชน์เพราะทุกอย่างจะตัดสินกันภายใน 90 นาทีเท่านั้น” กุนซือชาวสกอตต์ที่กำลังลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ชิป สมัยที่ 13 เผย
สำหรับ 11 ผู้เล่น แมนฯยู คงไม่เปลี่ยนแปลงเป็นชุดเดิมที่ เซอร์ อเล็กซ์ ใช้มาตลอดช่วง 2-3 เดือนหลัง ทั้ง พอล สโคลส์ และ ไมเคิล คาร์ริค 2 ห้องเครื่อง แต่ฝากความหวังได้แค่คนเดียว คือ เวย์น รูนีย์ ที่ซัดเบิลกับ เอฟเวอร์ตัน รวมแล้ว 26 ประตู ฤดูกาลนี้ทีมไม่ค่อยมีทีเด็ดจากบรรดาตัวสำรองเท่าที่ควร ทั้ง แดนนี เวลเบ็ค และ ฮาเวียร์ เฮร์นานเดซ โดยเฉพาะรายหลังที่ฟอร์มตกจากปีก่อนอย่างน่าใจหาย จึงต้องพึ่งตัวเก๋าอย่าง ไรอัน กิ๊กส์ และ แอชลีย์ ยัง
ส่วน แมนฯซิตี หลังคว้าแชมป์แรกรอบ 35 ปี คือ ถ้วย เอฟเอ คัพ เมื่อปีที่แล้ว ทำให้เก้าอี้ โรแบร์โต มันชินี มั่นคงขึ้นเยอะ มิหนำซ้ำ ปีนี้ยังได้เบียดแย่งแชมป์กับ แมนฯยู เป็นไปตามเป้าของบอร์ดบริหารชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไม่แน่จับพลัดจับผลูอาจจะได้แชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 3 รอบ 44 ปีก็เป็นได้
แต่ที่น่าประหลาดใจ คือ มันชินี เปรยก่อนเกมอาจให้โอกาส มาริโอ บาโลเตลลี ดาวยิงตัวป่วนทีมชาตอิตาลีลงล่าตาข่าย “หากถามว่าเชื่อใจ มาริโอ ได้หรือไม่? ผมคิดว่าได้นะ แต่เฉพาะเกมนี้เท่านั้น เขาเป็นผู้เล่นที่ควรได้ลงเล่นในวันจันทร์นี้ แต่จะตัดสินใจอีกครั้ง หลังออกมาขอโทษที่ถูกไล่ออกเกมกับ อาร์เซนอล จากนั้นก็กลับมาซ้อมได้เยี่ยมอีกครั้ง”
บาโลเตลลี ไม่ได้ลงเล่น 3 เกมหลังสุด เนื่องจากติดโทษแบน โดยทีมยิงไปได้ถึง 12 ประตู หากมีชื่อถือว่าน่าแปลกใจ เพราะ เซร์คิโอ อกูเอโร และ คาร์ลอส เตเบซ สองดาวยิงชาวอาร์เจนไตน์ฟอร์มร้อนจับคู่กันซัดไปคนละ 5 และ 4 ประตูตามลำดับ ดูแล้วน่าจะเป็นอีกเกมที่พลิกไปพลิกมาตลอด 90 นาที สกอร์คงไม่ขาดเหมือนนัดแรก แต่การที่ แมนฯซิตี เปิดหน้าแลกเพื่อ 3 แต้ม อาจเข้าทาง แมนฯยู ที่มักใช้โอกาสไม่เปลืองดักจังหวะสวนกลับแม่นๆ จึงมีลุ้นเก็บ 1 แต้มกลับบ้าน