เอเยนซี-เคร็ก เบลลามี ดาวยิงจรวดทางเรียบ กลายเป็นฮีโรยิงประตูช่วย ลิเวอร์พูล เปิด แอนฟิลด์ ตีเสมอ แมนเชสเตอร์ ซิตี 2-2 เมื่อวันพุธที่ 25 มกราคม 2555 รวม 2 นัดผ่านเข้าชิงถ้วย คาร์ลิง คัพ ด้วยสกอร์รวม 3-2 พบกับ "บลูเบิร์ดส์" คาร์ดิฟฟ ซิตี ที่สนาม เวมบลีย์ วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ หาก "หงส์แดง" ทำสำเร็จจะถือเป็นการคว้าแชมป์แรกรอบ 6 ปี
เกมที่ แอนฟิลด์ แมนฯซิตี นำสองครั้งสองคราจาก ไนเจล เดอ ยอง นาที 31 และ เอดิน เซโก นาที 67 แต่ไม่อาจกำชัยชนะ เพราะ ลิเวอร์พูล ตีเสมอจากจุดโทษของ สตีเวน เจอร์ราร์ด นาที 40 และ เบลลามี นาที 73 ถือเป็นฟอร์มอันจัดจ้านของดาวยิงที่กลับมาสวมเสื้อ "หงส์แดง" คำรบ 2 ต่อจากฤดูกาล 2006-07 นับว่าเป็นการคว้าตัวคุ้มค่าที่สุดของกุนซือ เคนนี ดัลกลิช เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เพราะได้มาแบบไร้ค่าตัวต่างจากพวก ชาร์ลี อดัม สจ๊วร์ต ดาวนิง และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2006 ที่คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ด้วยการชนะจุดโทษ เวสต์ แฮม ยูไนเต็ด ที่ มิลเลนเนียม สเตเดียม หลังเกม เจอร์ราร์ด กองกลางกัปตันทีม ลิเวอร์พูล ชูหอกวัย 32 ปีคือฮีโรตัวจริง "เคร็ก คือความแตกต่างระหว่างทั้งสองทีมอย่างแท้จริง การลากเลื้อยสร้างความอันตรายได้ตลอดและเรารู้ดีว่า ถ้าหากโอกาสมาถึงเขาจะจบสกอร์ได้ ต้องขอบคุณจากใจจริง เราคิดในแง่บวกและเล่นเกมนี้ด้วยความฮึกเหิม แมนฯ ซิตี เป็นทีมที่มีคุณภาพและการที่เราตัดสินใจบุกใส่ ก็ส่งผลตอบแทนที่ดีกลับคืนมา"
ขณะที่ ดัลกลิช นายใหญ่ ลิเวอร์พูล ยกย่องความมุ่งมั่นและหัวจิตหัวใจของลูกทีม เพราะเกม พรีเมียร์ชิป เพิ่งจะแพ้ โบลตัน วันเดอเรอร์ส 1-3 "ผมคิดว่าเป็นฟอร์มการเล่นที่สุดยอด แม้ว่าจะจบลงด้วยผลเสมอ แต่เราก็สมควรกับการผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ลูกทีมของผมเยี่ยมมากในคืนนี้และสมควรได้รับคำยกย่อง ทุกคนในทีมต่างมีส่วนช่วยให้เราผ่านเข้ารอบ แฟนบอลก็เช่นกัน และถือเป็นรางวัลตอบแทนสำหรับความจงรักภักดีของเดอะค็อป ดังนั้นแล้วสำหรับทุกคนที่ ลิเวอร์พูล เป็นค่ำคืนที่วิเศษสุด"
ส่วนคนที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ เบลลามี เนื่องจากเป็นคน เวลส์ เกิดใน คาร์ดิฟฟ์ และจะต้องสวมเสื้อ ลิเวอร์พูล เจอทีมเก่าตอนย้ายจาก แมนฯซิตี ไปเล่นให้ฤดูกาลเดียวแบบยืมตัวคือ 2010-11 เจ้าตัวออกมาเผยว่า "เมื่อคืนวันอังคารผมยินดีมากที่ คาร์ดิฟฟ์ ผ่านเข้าไปยืนรอชิง เพราะคงหานัดชิงชนะเลิศที่สมบูรณ์แบบสำหรับผมกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ถือเป็นเสน่ห์ของฟุตบอลอย่างแท้จริงและ ลิเวอร์พูล ก็ผ่านตามเข้าไปชิงถือเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ของเรา"
สำหรับ ลิเวอร์พูล ถือเป็นการกลับไปสนาม เวมบลีย์ ครั้งแรกรอบ 16 ปี แต่ครั้งสุดท้ายความทรงจำไม่สู้ดีในยุค "สไปซ์ บอย" อย่าง เจมี เรดแน็ปป์ สตีฟ แม็คมานามาน และ ร็อบบี ฟาวเลอร์ แต่งหล่อด้วยสูท "อาร์มานี" สัญชาติอิตาลีสีขาว ก่อนจะแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-1 จากยิงคลาสสิกถอยหลังฮาล์ฟวอลเลย์ของ เอริค คันโตนา
เกมนี้ถ้าดูตามเนื้อผ้า ลิเวอร์พูล เหนือกว่า คาร์ดิฟฟ์ ทีมอันดับ 3 เดอะแชมเปียนชิป ที่มีลุ้นเลื่อนชั้นสู่ พรีเมียร์ชิป ฤดูกาลหน้า ภายใต้การคุมทัพของ มัลกี แม็คคีย์ ที่มีกองหน้าซึ่งจะประมาทไม่ได้อย่าง เคนนี มิลเลอร์ ตัวเก๋าทีมชาติสกอตแลนด์ที่เคยยิงกระฉูดกับ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส รวมถึงห้องเครื่องชื่อคุ้นหูมีประสบการณ์กับลีกสูงสุดอย่าง ปีเตอร์ วิทติงแฮม และ สตีเฟน แม็คเฟล อีกทั้งหอกตัวสำรอง โรเบิร์ต เอิร์นชอว์ และ ทอม ฮีตัน อดีตมือกาว แมนฯยู ที่เซฟจุดโทษรอบตัดเชือกชนะ คริสตัล พาเลซ 3-1
ลิเวอร์พูล ถือเป็นมหาอำนาจถ้วย ลีก คัพ คว้าแชมป์สูงสุด 7 สมัย เข้าชิงครั้งสุดท้ายปี 2003 ชนะ แมนฯยู 2-0 แต่ห้ามประมาท คาร์ดิฟฟ์ เด็ดขาด เพราะมีตัวอย่างให้เห็นแล้วเมื่อปีที่แล้ว อาร์เซนอล เข้าชิงเจอทีมรองอย่าง เบอร์มิงแฮม ซิตี กลับพลิกแพ้ 1-2 ถ้า "หงส์แดง" มีแชมป์ติดมือก็จะถือเป็นรางวัลที่สร้างความชื่นมื่นให้สาวก "เดอะ ค็อป" กับการกลับมาคุมทีมของ ดัลกลิช เพราะคือสิ่งที่ยักษ์หลับจาก แอนฟิลด์ ห่างหายมานาน