คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน
มวยสากลชิงแช้มป์โลก รุ่นเฮ้ฟวี่เหวท ระหว่าง โจ เฟรเซ่อร์ ( Joe Frazier ) กับ มูฮัมหมัด อาลี ( Muhammad Ali ) เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 1971 ที่ เมดีเซิ่น สแควร์ การ์เดิ้น ( Madison Square Garden ) ใน นิวยอร์ค สหรัฐ อเมรีกา ในยุคนั้นถือว่าเป็นการประกบคู่มวยที่คนทั่วโลกให้ความสนใจที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์โลก
ตอนนั้น อาลี เป็นอดีตแช้มป์โลก มีสถิติชก 31 ไฟ้ท์ ชนะรวด และเป็นการชนะ น็อค เอ๊าท์ ถึง 25 ครั้ง แต่ถูกปลดจากตำแหน่งและโดนพักใบอนุญาตชกมวยเพราะปฏิเสธการเข้าเป็นทหารเกณฑ์ในขณะที่ อเมรีกา กำลังทำสงครามเวียตนาม หมอนี่บอกว่า ก็ข้าไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกับ พวกเวียตกง ไม่เคยเห็นคนเวียตกงมาเรียกข้าว่า “ ไอ้นิโกร ” ซักนิด แล้วมันก็ขัดกับความเชื่อทางศาสนาอิสลามที่ตนเองนับถืออีกด้วย ซึ่งต่อมาหลังจากต่อสู้อยู่ร่วม 3 ปี เขาก็ได้ใบอนุญาตกลับคืนสู่สังเวียน
ในขณะที่ โจ เฟรเซ่อร์ เป็นเจ้าของตำแหน่งที่มีสถิติชก 26 ไฟ้ท์ ชนะรวด และเป็นการชนะ น็อค เอ๊าท์ ถึง 23 ครั้ง ซึ่งผลการชกไฟ้ท์ดังกล่าว โจ เฟรเซ่อร์ เป็นฝ่ายชนะคะแนนอย่างเป็นเอกฉันท์ และไฟ้ท์นี้ได้รับการยกย่องให้เป็น “ ไฟ้ท์แห่งศตวรรษ ” ( Fight of the Century ) เลยทีเดียว
ในวัยเด็ก โจ ถูกเรียกว่า “ บิลลี่ บอย ” ทางบ้านเป็นเจ้าของฟาร์มข้าวโพดขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่ค่อยมีผลผลิตสร้างความร่ำรวยให้ครอบครัวมากมาย เพียงแค่พอมีพอกิน พอดีช่วงนั้นทางบ้านซื้อโทรทัศน์ขาว-ดำ และมีมวยให้ดูอยู่บ่อยๆ นักมวยดังในยุคนั้นก็คือ ร็อคกี้ มาซิอาโน่ ( Rocky Marciano ) แต่นักชกที่คนผิวดำถือเป็นฮีโร่ของพวกเขาคือ โจ หลุยส์ ( Joe Louis ) ใครๆก็เห่อทีวีที่มีอยู่เครื่องเดียวนี้กันมาก เพื่อนบ้านในละแวกนั้นต่างก็แห่มาดูมวยทางทีวีที่บ้านของ โจ อยู่เป็นประจำ ตอนนั้นแม้ว่า โจ จะมีอายุเพิ่งจะเข้าวัยทีนแต่ก็มีรูปร่างกำยำ ล่ำสันแล้ว ลุงของเขายังพูดขึ้นมาว่า เจ้า บิลลี่ บอย นี่แหละต่อไปจะเป็น โจ หลุยส์ คนต่อไป
คำพูดดังกล่าวคงทำให้ บิลลี่ บอย เกิดแรงบันดาลใจ วันรุ่งขึ้นเขาจัดการทำกระสอบทรายห้อยไว้กับต้นโอ๊คทันที มันทำจากถุงผ้า ใส่อิฐและซังข้าวโพด ให้มันหนักๆ แล้วยัดเศษผ้าขี้ริ้วเข้าไปให้มันนุ่มๆ ขโมยเน็คทายของพ่อกับถุงน่องของแม่และพี่สาวมาพันมือ ซ้อมชกกับกระสอบดังกล่าวทุกวันๆละเป็นชั่วโมง โจ เคยหกล้มแขนซ้ายไปฟาดกับอิฐที่พื้นอย่างแรง แต่ครอบครัวไม่มีเงินพาไปหาหมอ จึงปล่อยให้แผลค่อยๆหายเอง แล้วในที่สุดแขนก็ไม่สามารถยืดได้สุดเป็นเส้นตรง อย่างไรก็ตาม อันนี้กลายมาเป็นผลดีทำให้ต่อมา โจ มีฮุคซ้ายเป็นหมัดเด็ด
หมอนี่เริ่มโด่งดังหลังจากได้เหรียญทองจากมวยสากลสมัครเล่น โอลิมพิค เกมส์ รุ่นเฮ้ฟวี่เหวท ที่กรุงโตเกียว ในปี 1964 ถัดจากครั้งที่ อาลี ได้เหรียญทอง จากรุ่นไล้ท์ เฮ้ฟวี่เหวท ที่ กรุงโรมา ทั้งๆที่ตอนที่ โจ ได้ไป กรุงโตเกียว นั้น ความจริงไม่ได้สิทธิ์เป็นตัวแทนด้วยซ้ำ เพราะดันไปแพ้ บัสเท่อร์ แม็ททิส ( Buster Mathis ) ในการคัดเลือกตัวแทนทีมชาติอเมรีกา ซึ่ง โจ เล่าให้ฟังว่า มัททิส สวมกางเกงสูงเหลือเกิน แม้ตนจะชกเข้าที่ลำตัวของ แม็ททิส อย่างถูกต้อง ยังไงก็ถูกมองว่า ชกต่ำกว่าเข็มขัด แล้วกรรมการงี่เง่าก็ดันตัดคะแนนอยู่เรื่อย อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการทีมและเทรนเน่อร์ตัดสินใจหนีบเอา โจ ไปด้วยในฐานะตัวสำรอง เผื่อว่า แม็ททิส เกิดไม่พร้อมชก นอกจากนั้นยังช่วยเป็นคู่ซ้อมให้นักชกคนอื่นๆได้อีกด้วย
แล้วโชคเป็นของเขาจริงๆ เมื่อถึง โอลิมพิค เกมส์ 1964 แม็ททิส บาดเจ็บ โจ ได้ขึ้นชกแทน โจ น็อคทั้ง จ๊อร์จ โออีเวลโล ( George Oywello ) จาก อูกานดา แอ็ททอล แม็คควีน ( Athol McQueen ) จาก ออสตราเลีย และ วาดิม เยเมลียาน็อฟ ( Vadim Yemelyanov ) จาก รัสเซีย ก่อนที่จะได้เหรียญทองด้วยการชนะคะแนน 3-2 ในนัดชิงชนะเลิศกับ ฮันส์ ฮูเบ้อร์ ( Hans Huber ) นักชกจาก เจอรมานี
เด็กจาก โบฟอร์ต ( Beaufort ) เซ้าธ์ แคโรลายน่า ( South Carolina ) สหรัฐอเมรีกา คนนี้กลายเป็นตำนานของโลก โจ เฟรเซ่อร์ ซึ่งได้รับฉายาว่า สโม้กกิ้น โจ ( Smokin’ Joe ) จาก แย๊งค์ ดูแร็ม ( Yancey “ Yank ” Durham ) เทรนเน่อร์คู่ใจคนแรกของเขาเองที่จะบอก โจ ก่อนการชกทุกไฟ้ท์ว่า “ เอาให้ควันออกนวมเลยนะ ”
มวยสากลชิงแช้มป์โลก รุ่นเฮ้ฟวี่เหวท ระหว่าง โจ เฟรเซ่อร์ ( Joe Frazier ) กับ มูฮัมหมัด อาลี ( Muhammad Ali ) เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 1971 ที่ เมดีเซิ่น สแควร์ การ์เดิ้น ( Madison Square Garden ) ใน นิวยอร์ค สหรัฐ อเมรีกา ในยุคนั้นถือว่าเป็นการประกบคู่มวยที่คนทั่วโลกให้ความสนใจที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์โลก
ตอนนั้น อาลี เป็นอดีตแช้มป์โลก มีสถิติชก 31 ไฟ้ท์ ชนะรวด และเป็นการชนะ น็อค เอ๊าท์ ถึง 25 ครั้ง แต่ถูกปลดจากตำแหน่งและโดนพักใบอนุญาตชกมวยเพราะปฏิเสธการเข้าเป็นทหารเกณฑ์ในขณะที่ อเมรีกา กำลังทำสงครามเวียตนาม หมอนี่บอกว่า ก็ข้าไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกับ พวกเวียตกง ไม่เคยเห็นคนเวียตกงมาเรียกข้าว่า “ ไอ้นิโกร ” ซักนิด แล้วมันก็ขัดกับความเชื่อทางศาสนาอิสลามที่ตนเองนับถืออีกด้วย ซึ่งต่อมาหลังจากต่อสู้อยู่ร่วม 3 ปี เขาก็ได้ใบอนุญาตกลับคืนสู่สังเวียน
ในขณะที่ โจ เฟรเซ่อร์ เป็นเจ้าของตำแหน่งที่มีสถิติชก 26 ไฟ้ท์ ชนะรวด และเป็นการชนะ น็อค เอ๊าท์ ถึง 23 ครั้ง ซึ่งผลการชกไฟ้ท์ดังกล่าว โจ เฟรเซ่อร์ เป็นฝ่ายชนะคะแนนอย่างเป็นเอกฉันท์ และไฟ้ท์นี้ได้รับการยกย่องให้เป็น “ ไฟ้ท์แห่งศตวรรษ ” ( Fight of the Century ) เลยทีเดียว
ในวัยเด็ก โจ ถูกเรียกว่า “ บิลลี่ บอย ” ทางบ้านเป็นเจ้าของฟาร์มข้าวโพดขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่ค่อยมีผลผลิตสร้างความร่ำรวยให้ครอบครัวมากมาย เพียงแค่พอมีพอกิน พอดีช่วงนั้นทางบ้านซื้อโทรทัศน์ขาว-ดำ และมีมวยให้ดูอยู่บ่อยๆ นักมวยดังในยุคนั้นก็คือ ร็อคกี้ มาซิอาโน่ ( Rocky Marciano ) แต่นักชกที่คนผิวดำถือเป็นฮีโร่ของพวกเขาคือ โจ หลุยส์ ( Joe Louis ) ใครๆก็เห่อทีวีที่มีอยู่เครื่องเดียวนี้กันมาก เพื่อนบ้านในละแวกนั้นต่างก็แห่มาดูมวยทางทีวีที่บ้านของ โจ อยู่เป็นประจำ ตอนนั้นแม้ว่า โจ จะมีอายุเพิ่งจะเข้าวัยทีนแต่ก็มีรูปร่างกำยำ ล่ำสันแล้ว ลุงของเขายังพูดขึ้นมาว่า เจ้า บิลลี่ บอย นี่แหละต่อไปจะเป็น โจ หลุยส์ คนต่อไป
คำพูดดังกล่าวคงทำให้ บิลลี่ บอย เกิดแรงบันดาลใจ วันรุ่งขึ้นเขาจัดการทำกระสอบทรายห้อยไว้กับต้นโอ๊คทันที มันทำจากถุงผ้า ใส่อิฐและซังข้าวโพด ให้มันหนักๆ แล้วยัดเศษผ้าขี้ริ้วเข้าไปให้มันนุ่มๆ ขโมยเน็คทายของพ่อกับถุงน่องของแม่และพี่สาวมาพันมือ ซ้อมชกกับกระสอบดังกล่าวทุกวันๆละเป็นชั่วโมง โจ เคยหกล้มแขนซ้ายไปฟาดกับอิฐที่พื้นอย่างแรง แต่ครอบครัวไม่มีเงินพาไปหาหมอ จึงปล่อยให้แผลค่อยๆหายเอง แล้วในที่สุดแขนก็ไม่สามารถยืดได้สุดเป็นเส้นตรง อย่างไรก็ตาม อันนี้กลายมาเป็นผลดีทำให้ต่อมา โจ มีฮุคซ้ายเป็นหมัดเด็ด
หมอนี่เริ่มโด่งดังหลังจากได้เหรียญทองจากมวยสากลสมัครเล่น โอลิมพิค เกมส์ รุ่นเฮ้ฟวี่เหวท ที่กรุงโตเกียว ในปี 1964 ถัดจากครั้งที่ อาลี ได้เหรียญทอง จากรุ่นไล้ท์ เฮ้ฟวี่เหวท ที่ กรุงโรมา ทั้งๆที่ตอนที่ โจ ได้ไป กรุงโตเกียว นั้น ความจริงไม่ได้สิทธิ์เป็นตัวแทนด้วยซ้ำ เพราะดันไปแพ้ บัสเท่อร์ แม็ททิส ( Buster Mathis ) ในการคัดเลือกตัวแทนทีมชาติอเมรีกา ซึ่ง โจ เล่าให้ฟังว่า มัททิส สวมกางเกงสูงเหลือเกิน แม้ตนจะชกเข้าที่ลำตัวของ แม็ททิส อย่างถูกต้อง ยังไงก็ถูกมองว่า ชกต่ำกว่าเข็มขัด แล้วกรรมการงี่เง่าก็ดันตัดคะแนนอยู่เรื่อย อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการทีมและเทรนเน่อร์ตัดสินใจหนีบเอา โจ ไปด้วยในฐานะตัวสำรอง เผื่อว่า แม็ททิส เกิดไม่พร้อมชก นอกจากนั้นยังช่วยเป็นคู่ซ้อมให้นักชกคนอื่นๆได้อีกด้วย
แล้วโชคเป็นของเขาจริงๆ เมื่อถึง โอลิมพิค เกมส์ 1964 แม็ททิส บาดเจ็บ โจ ได้ขึ้นชกแทน โจ น็อคทั้ง จ๊อร์จ โออีเวลโล ( George Oywello ) จาก อูกานดา แอ็ททอล แม็คควีน ( Athol McQueen ) จาก ออสตราเลีย และ วาดิม เยเมลียาน็อฟ ( Vadim Yemelyanov ) จาก รัสเซีย ก่อนที่จะได้เหรียญทองด้วยการชนะคะแนน 3-2 ในนัดชิงชนะเลิศกับ ฮันส์ ฮูเบ้อร์ ( Hans Huber ) นักชกจาก เจอรมานี
เด็กจาก โบฟอร์ต ( Beaufort ) เซ้าธ์ แคโรลายน่า ( South Carolina ) สหรัฐอเมรีกา คนนี้กลายเป็นตำนานของโลก โจ เฟรเซ่อร์ ซึ่งได้รับฉายาว่า สโม้กกิ้น โจ ( Smokin’ Joe ) จาก แย๊งค์ ดูแร็ม ( Yancey “ Yank ” Durham ) เทรนเน่อร์คู่ใจคนแรกของเขาเองที่จะบอก โจ ก่อนการชกทุกไฟ้ท์ว่า “ เอาให้ควันออกนวมเลยนะ ”