วินฟรีด เชเฟอร์ กุนซือชาวเยอรมันแนะสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ให้อาศัยจังหวะที่กระแสความคลั่งไคล้ในทีมชาติไทยของแฟนบอลซึ่งกำลังมาแรงในช่วงนี้ เร่งพัฒนาวงการลูกหนังอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การจัดลีกทีมสำรองและลีกเยาวชน พร้อมชู ธีรศิลป์ แดงดา มีศักยภาพดีพอที่จะเล่นในลีกยุโรปได้
เมื่อวันศุกร์ที่ 9 กันยายน เวลา 14.00 น. ที่ผ่านมา บริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด จัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการฟุตบอลอาชีพแห่งประเทศไทย ณ โรงแรมโกลเด้นทิวลิป ซอฟเฟอริน กรุงเทพฯ ซึ่งที่ห้องทานตะวัน ได้มีการเชิญ “วินนี” มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานและสอบถามข้อมูล แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับโค้ชของทั้ง 18 สโมสรในศึกสปอนเซอร์ ไทยพรีเมียร์ลีก
ภายหลังเสร็จสิ้นการสัมมนา เชเฟอร์ กล่าวว่า “การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับโค้ชของสโมสรต่างๆ เพื่อประสานงานขอความร่วมมือเป็นสิ่งที่สมาคมฟุตบอลใหญ่ๆ ในยุโรป เช่น เยอรมัน, อังกฤษ, สเปน, อิตาลี ทำกันเป็นปกติ และยังมีความสำคัญในการพัฒนาวงการฟุตบอลภายในประเทศร่วมกันด้วย”
ซึ่งโค้ชวัย 61 ปีพูดถึงการลงมือทำงานอย่างต่อเนื่องจากกระแสของทีมชาติไทยที่กำลังคึกคักเป็นอย่างมาก หลังจากทำผลงานได้ดีในศึกฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสาม กับ ออสเตรเลีย และ โอมาน ว่า “สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ควรอาศัยจังหวะนี้ในการทำงานหนักขึ้นเพื่อต่อยอดพัฒนาวงการฟุตบอล แม้จะประสบความสำเร็จกับผลการแข่งขันในช่วงที่ผ่านมา แต่เราจะพอใจแค่นี้ไม่ได้ ต้องคิดวิเคราะห์ว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก”
โดยอดีตกุนซือคาร์ลสรูห์และทีมชาติแคเมอรูน เน้นในเรื่องของการจัดลีกทีมสำรองและลีกเยาวชนว่า “ในที่ประชุมต่างมีความเห็นร่วมกันว่าควรจัดลีกทีมสำรองและลีกเยาวชน เพื่อเป็นเวทีให้เยาวชนได้พัฒนาฝีเท้า ซึ่งทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นสมาคม, ฝ่ายจัดการแข่งขัน และสโมสรต้องทำงานร่วมกันในการสร้างนักเตะจากระดับเยาวชนป้อนเข้าสู่สโมสรและทีมชาติอันเป็นการยกระดับมาตรฐานวงการฟุตบอลไทยอย่างยั่งยืน และผมก็ทราบว่าคุณวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฯ มีแนวคิดที่จะทำเรื่องนี้แล้ว แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องไม่บอกว่าจะลงมือทำในวันพรุ่งนี้ ต้องเริ่มต้นวางแผนและลงมือทำตั้งแต่วันนี้”
ส่วนเรื่องปัญหาในการเตรียมทีมชาติไทยที่สโมสรจะได้รับผลกระทบจากการดึงนักเตะไปเก็บตัวและแข่งขัน เชเฟอร์ อธิบายว่า “สโมสรไม่มีปัญหาในการปล่อยตัวผู้เล่นมาเล่นให้ทีมชาติไทย เมื่อผลงานออกมาดีนักเตะก็มีความมั่นใจในการกลับไปรับใช้สโมสรต่อ ส่วนแฟนบอลที่ติดตามผลงานในทีมชาติก็อาจตามไปให้กำลังใจในระดับสโมสรกันมากขึ้นซึ่งถือเป็นผลประโยชน์ที่เกื้อกูลกันทั้งสองฝ่าย ขณะที่ปัญหานักเตะบาดเจ็บจากทีมชาติ หากผมเห็นว่าใครเริ่มมีอาการก็จะรีบเปลี่ยนตัวออกทันที เช่น อดุล หละโสะ และ ธีรศิลป์ แดงดา เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการบาดเจ็บหนักๆ ซึ่งผมมองว่าเป็นความรับผิดชอบร่วมกันจึงต้องให้ความสำคัญกับสโมสรที่เป็นคนดูแลนักเตะ”
ขณะเดียวกัน “วินนี” ได้ตอบข้อซักถามของผู้สื่อข่าวถึงเรื่องที่ “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดง ศูนย์หน้าจากเมืองทอง หนองจอก ยูไนเต็ด มีฝีเท้าดีพอที่จะไปค้าแข้งในบุนเดสลีกา เยอรมนี หรือลีกอื่นๆ ในยุโรปหรือไม่ว่า “เขามีศักยภาพเพียงพออย่างแน่นอน แต่ต้องปรับตัวให้เข้ากับความเร็วและสไตล์การเล่นของลีกให้ได้ ยกตัวอย่างเช่นผู้เล่นเก่งๆ ของบราซิลที่ไปเล่นใน เยอรมนี, อังกฤษ หรือสเปน ก็ต้องใช้เวลากันทั้งนั้น นอกจากนี้ ผมมองว่านักเตะทีมชาติไทยคนอื่นๆ ซึ่งไม่ขอเอ่ยชื่อออกมา มีฝีเท้าดีพอที่จะไปเล่นในยุโรปได้เช่นกัน เพียงแต่ต้องปรับทัศนคติของความเป็นมืออาชีพ ทั้งเรื่องการใช้ชีวิตทั้งในและนอกสนามเพื่อดูแลสภาพร่างกายของตัวเองให้สมบูรณ์เต็มที่อยู่ตลอดเวลา”