คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน
การเลือกตั้งของประเทศไทยที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคมนี้ เป็นการเลือกตั้งอันเกิดขึ้นตามวิถีทางประชาธิปไตยที่จะกำหนดทิศทางของประเทศ นี่เป็นอีกครั้งที่ประชาชนทั่วประเทศได้รับโอกาสเลือกที่จะนำประเทศของตนเองไปในแนวทางใด โดยพวกเขามีสิทธิ์เลือกผู้ที่จะมาเป็นผู้นำประเทศ แต่ถ้าพวกเขาไม่ใช้สิทธิ์อย่างถูกต้อง ขายสิทธิ์ของตนเอง ดันออกใบมอบอำนาจให้หน้าม้าของผู้สมัครคนใดไปใช้สิทธิ์ แล้วอย่างนี้ประเทศชาติจะเจริญได้อย่างไร ประชาชนคนอื่นๆที่ต้องทนอาศัยอยู่ร่วมประเทศกับพวกคนเหล่านี้จะใช้ชีวิตอย่างผาสุกได้อย่างไร ลองนึกภาพถึงการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศของไทยที่ผู้สมัครต่างก็วิ่งเข้าหาประชาชนเพื่อขอใบมอบอำนาจมาเก็บสะสมเอาไว้เพื่อให้คนของตนนำไปใช้สิทธิ์ลงคะแนนในวันเลือกตั้ง คงพิลึกน่าดูครับ
ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ในประเทศฝรั่งเศสร่วม 10 ปี และนับถึงทุกวันนี้ก็ยังเดินทางไปหลายประเทศในทวีปยุโรปมากกว่าร้อยครั้ง รวมระยะทางเป็นล้านกิโลเมตร ได้เรียนรู้และเข้าใจสภาพความเป็นอยู่ของคนในชาติที่มีความเจริญพัฒนาหลายชาติอย่างลึกละเอียด บอกได้เลยว่า เพียงแค่พวกเขากระทำตนตามปกติธรรมดาก็สามารถมีความสุขได้ มีหลักประกันครบทุกด้าน และมีสิทธิ์เท่าเทียมกันทุกคน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับคนไทยที่ทุกวันนี้ยังอยู่ในประเทศล้าหลัง ต่างก็ต้องหาทางตักตวงนอกระบบเอาเอง ผู้คนยังต้องดิ้นรนต่อสู้อยู่ในโลกเก่า เสียเปรียบคนมีอำนาจ คนมีเงิน ไม่มีหลักประกัน ดังนั้นประชาชนที่ไม่เคยได้เห็นหรือสัมผัสของจริงด้วยตนเองจะไม่มีทางรู้หรอกว่า ความผาสุกของคนในชาติในยุโรปมันเป็นอย่างไร มัวแต่คิดว่าสิ่งที่ตนเองได้รับอยู่ในปัจจุบันมันคือสุดยอดแล้ว
สำหรับการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 17 มิถุนายนนี้ มันก็เปรียบเหมือนการเลือกตั้งใหญ่ของไทยในวันที่ 3 กรกฎาคมนั่นแหละ เพียงแต่เป็นการเลือกผู้นำสูงสุดในวงการฟุตบอลของชาติ
เราคงได้เห็นชาติต่างๆที่พัฒนาวงการฟุตบอลไปพร้อมๆกับความสำเร็จในระดับโลกจากทางสื่อต่างๆมาตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา และผมก็เชื่อว่าประชาชนชาวไทยต่างก็ฝันที่จะให้วงการฟุตบอลของไทยก้าวไปสู่ระดับนั้น เมื่อผลของการบริหารงานของผู้นำองค์กรดังกล่าวล้มเหลว มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงจากโลกเก่าก้าวเข้าสู่โลกใหม่ แต่การเปลี่ยนแปลงมันจะเกิดขึ้นไม่ได้ เนื่องจากมีการขายสิทธิ์ขายเสียง
ความฝันของประชาชนชาวไทยที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นมันสวนทางกับความฝันของสโมสรสมาชิกที่มีสิทธิ์ลงคะแนน เพราะหลายสโมสรสมาชิกอยากได้รับผลประโยชน์เข้าทางตนในรูปแบบเก่าๆ ต่างก็ขายสิทธิ์ของตนเอง พวกเขาไม่ต้องการไปลงคะแนนเลือกตั้งเอง แต่ออกใบมอบอำนาจให้หน้าม้าของผู้สมัครไปเรียบร้อยแล้ว
สถานการณ์ในปัจจุบัน ผู้สมัครที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลทั่วประเทศ แต่ดันมีใบมอบอำนาจอยู่ในมือแล้วหลายสิบเสียง เท่านั้นยังไม่พอ ทุกวันนี้ยังต่อสายไปทางสโมสรสมาชิกที่อยู่ทางภาคตะวันออกเพื่อช่วงชิงใบมอบอำนาจมาอยู่ในมือให้ได้ ในขณะที่ผู้สมัครอีกคนที่ตอนแรกคุยว่ามีเสียงสนับสนุน 25 เสียงนั้น เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมได้พบหัวคะแนนของท่าน จึงได้ทราบว่ามีใบมอบอำนาจอยู่ในมือ 10 กว่าใบเท่านั้นเอง และแม้จะถอดใจยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ก็ยืนยันจะลงสมัคร ส่วนผู้สมัครอีกคน เสียงหดหายเหลือเพียงแค่ 3 เสียง ซึ่งท่านก็ยอมรับว่า แม้สโมสรที่ท่านเคยเป็นประธานเองยังไม่ลงคะแนนให้ท่านเลย
ส่วนของผมก็ยังยืนยันนโยบายเปลี่ยนแปลงชัดเจน เน้นความโปร่งใสในการบริหารงาน ดูแลให้เกิดความเที่ยงธรรม เปลี่ยนระบบการเล่นของทีมชาติไทยมาเน้น วัน ทัช ซึ่งเป็นแนวทางเดียวที่สู้กับทีมยักษ์ได้ทุกทีมในโลก เพราะผมต้องการนำทีมชาติไทยไปบอลโลกครับ ตอนนี้ก็ยังคงมี 10 เสียง กับบวกลบได้อีก 84 ที่คะแนนเสียงบวกลบมันเหวี่ยงไปกว้างเหลือเกินนั้น เพราะมันขึ้นอยู่กับสโมสรสมาชิกว่า ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพราะผมไม่ใช่กลุ่มผลประโยชน์ฝ่ายใดที่แสวงหาอำนาจเพื่อเข้ามารักษาผลประโยชน์ของพวกตน แต่มีแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำวงการฟุตบอลไทยก้าวข้ามไปสู่อีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่ชาติที่เจริญเขาอาศัยอยู่ครับ
การเลือกตั้งของประเทศไทยที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคมนี้ เป็นการเลือกตั้งอันเกิดขึ้นตามวิถีทางประชาธิปไตยที่จะกำหนดทิศทางของประเทศ นี่เป็นอีกครั้งที่ประชาชนทั่วประเทศได้รับโอกาสเลือกที่จะนำประเทศของตนเองไปในแนวทางใด โดยพวกเขามีสิทธิ์เลือกผู้ที่จะมาเป็นผู้นำประเทศ แต่ถ้าพวกเขาไม่ใช้สิทธิ์อย่างถูกต้อง ขายสิทธิ์ของตนเอง ดันออกใบมอบอำนาจให้หน้าม้าของผู้สมัครคนใดไปใช้สิทธิ์ แล้วอย่างนี้ประเทศชาติจะเจริญได้อย่างไร ประชาชนคนอื่นๆที่ต้องทนอาศัยอยู่ร่วมประเทศกับพวกคนเหล่านี้จะใช้ชีวิตอย่างผาสุกได้อย่างไร ลองนึกภาพถึงการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศของไทยที่ผู้สมัครต่างก็วิ่งเข้าหาประชาชนเพื่อขอใบมอบอำนาจมาเก็บสะสมเอาไว้เพื่อให้คนของตนนำไปใช้สิทธิ์ลงคะแนนในวันเลือกตั้ง คงพิลึกน่าดูครับ
ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ในประเทศฝรั่งเศสร่วม 10 ปี และนับถึงทุกวันนี้ก็ยังเดินทางไปหลายประเทศในทวีปยุโรปมากกว่าร้อยครั้ง รวมระยะทางเป็นล้านกิโลเมตร ได้เรียนรู้และเข้าใจสภาพความเป็นอยู่ของคนในชาติที่มีความเจริญพัฒนาหลายชาติอย่างลึกละเอียด บอกได้เลยว่า เพียงแค่พวกเขากระทำตนตามปกติธรรมดาก็สามารถมีความสุขได้ มีหลักประกันครบทุกด้าน และมีสิทธิ์เท่าเทียมกันทุกคน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับคนไทยที่ทุกวันนี้ยังอยู่ในประเทศล้าหลัง ต่างก็ต้องหาทางตักตวงนอกระบบเอาเอง ผู้คนยังต้องดิ้นรนต่อสู้อยู่ในโลกเก่า เสียเปรียบคนมีอำนาจ คนมีเงิน ไม่มีหลักประกัน ดังนั้นประชาชนที่ไม่เคยได้เห็นหรือสัมผัสของจริงด้วยตนเองจะไม่มีทางรู้หรอกว่า ความผาสุกของคนในชาติในยุโรปมันเป็นอย่างไร มัวแต่คิดว่าสิ่งที่ตนเองได้รับอยู่ในปัจจุบันมันคือสุดยอดแล้ว
สำหรับการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 17 มิถุนายนนี้ มันก็เปรียบเหมือนการเลือกตั้งใหญ่ของไทยในวันที่ 3 กรกฎาคมนั่นแหละ เพียงแต่เป็นการเลือกผู้นำสูงสุดในวงการฟุตบอลของชาติ
เราคงได้เห็นชาติต่างๆที่พัฒนาวงการฟุตบอลไปพร้อมๆกับความสำเร็จในระดับโลกจากทางสื่อต่างๆมาตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา และผมก็เชื่อว่าประชาชนชาวไทยต่างก็ฝันที่จะให้วงการฟุตบอลของไทยก้าวไปสู่ระดับนั้น เมื่อผลของการบริหารงานของผู้นำองค์กรดังกล่าวล้มเหลว มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงจากโลกเก่าก้าวเข้าสู่โลกใหม่ แต่การเปลี่ยนแปลงมันจะเกิดขึ้นไม่ได้ เนื่องจากมีการขายสิทธิ์ขายเสียง
ความฝันของประชาชนชาวไทยที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นมันสวนทางกับความฝันของสโมสรสมาชิกที่มีสิทธิ์ลงคะแนน เพราะหลายสโมสรสมาชิกอยากได้รับผลประโยชน์เข้าทางตนในรูปแบบเก่าๆ ต่างก็ขายสิทธิ์ของตนเอง พวกเขาไม่ต้องการไปลงคะแนนเลือกตั้งเอง แต่ออกใบมอบอำนาจให้หน้าม้าของผู้สมัครไปเรียบร้อยแล้ว
สถานการณ์ในปัจจุบัน ผู้สมัครที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลทั่วประเทศ แต่ดันมีใบมอบอำนาจอยู่ในมือแล้วหลายสิบเสียง เท่านั้นยังไม่พอ ทุกวันนี้ยังต่อสายไปทางสโมสรสมาชิกที่อยู่ทางภาคตะวันออกเพื่อช่วงชิงใบมอบอำนาจมาอยู่ในมือให้ได้ ในขณะที่ผู้สมัครอีกคนที่ตอนแรกคุยว่ามีเสียงสนับสนุน 25 เสียงนั้น เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมได้พบหัวคะแนนของท่าน จึงได้ทราบว่ามีใบมอบอำนาจอยู่ในมือ 10 กว่าใบเท่านั้นเอง และแม้จะถอดใจยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ก็ยืนยันจะลงสมัคร ส่วนผู้สมัครอีกคน เสียงหดหายเหลือเพียงแค่ 3 เสียง ซึ่งท่านก็ยอมรับว่า แม้สโมสรที่ท่านเคยเป็นประธานเองยังไม่ลงคะแนนให้ท่านเลย
ส่วนของผมก็ยังยืนยันนโยบายเปลี่ยนแปลงชัดเจน เน้นความโปร่งใสในการบริหารงาน ดูแลให้เกิดความเที่ยงธรรม เปลี่ยนระบบการเล่นของทีมชาติไทยมาเน้น วัน ทัช ซึ่งเป็นแนวทางเดียวที่สู้กับทีมยักษ์ได้ทุกทีมในโลก เพราะผมต้องการนำทีมชาติไทยไปบอลโลกครับ ตอนนี้ก็ยังคงมี 10 เสียง กับบวกลบได้อีก 84 ที่คะแนนเสียงบวกลบมันเหวี่ยงไปกว้างเหลือเกินนั้น เพราะมันขึ้นอยู่กับสโมสรสมาชิกว่า ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพราะผมไม่ใช่กลุ่มผลประโยชน์ฝ่ายใดที่แสวงหาอำนาจเพื่อเข้ามารักษาผลประโยชน์ของพวกตน แต่มีแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำวงการฟุตบอลไทยก้าวข้ามไปสู่อีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่ชาติที่เจริญเขาอาศัยอยู่ครับ
