คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน
ในปัจจุบัน การสรรหาบุคคลเข้ามาเป็นผู้นำสูงสุดขององค์กรจากบรรดาผู้สมัครหลายคนด้วยการให้ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงลงคะแนนเลือกนั้น เขานิยมใช้ ระบบเสียงข้างมากเด็ดขาด ที่ฝรั่งเรียกว่า แอ็บโซลูท มะจอริที ( Absolute majority ) เป็นระบบที่ผู้ที่จะได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิ์ลงคะแนน นั่นคืออย่างน้อย 50 เพอร์เซ็นท์ บวกกับอีก 1 เสียง ระบบนี้เป็นที่ยอมรับว่า มีความชัดเจนและยุติธรรมที่สุด ซึ่งในวงการกีฬาก็นำระบบนี้มาใช้ เช่น ในการสรรหา เมือง หรือ ประเทศเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โอลิมพิค เกมส์ หรือ ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย รวมไปถึง การสรรหาประธานคณะกรรมการโอลิมพิคสากล และ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ
แม้ว่าจะมีผู้สมัครเพียงคนเดียว สองคน หรือมากกว่านั้น ใครจะเป็นผู้ชนะก็ต้องเป็นผู้มีคะแนนเสียงอย่างน้อย 50 เพอร์เซ็นท์ บวกกับอีก 1 เสียงอยู่ดี ผมขอยกตัวอย่างในกรณีที่มีผู้สมัคร 4 คน โดยมีสมาชิกที่มีสิทธิ์ออกเสียง 173 เสียง คนชนะก็ควรจะได้คะแนนไม่น้อยกว่า 87 คะแนน สมมุติว่าผลการลงคะแนน นาย ก. ได้ 90 เสียง นาย ข. ได้ 50 เสียง นาย ค. ได้ 23 เสียง และ นาย ง. ได้ 10 เสียง นาย ก. ก็ได้รับเลือกทันที ส่วนอีก 3 คนก็เป็นฝ่ายแพ้ แล้ว นาย ข. จะมาบ่นว่า ตนต้องการโค่น นาย ก. แต่ นาย ค. ดันมาลงสมัคร เป็นการมาตัดแต้มกันเอง อันนี้คงไม่ถูก เพราะถ้าเราพิจารณาให้ดี หากนำคะแนนที่นาย ค. ได้ 23 เสียงไปยกให้ นาย ข. แถมคะแนนของ นาย ง. อีก 10 เสียง รวมกันก็ได้เพียง 83 เสียง ยังแพ้คะแนนของนาย ก. อยู่ดี ก็ควรจะยอมรับว่ายังไงก็สู้ไม่ได้
การโหวทด้วยระบบนี้ ถ้ายังไม่มีผู้ใดได้อย่างน้อย 87 เสียง เขาให้ตัดผู้ที่มีคะแนนน้อยที่สุดออกไป แล้วลงคะแนนเลือกกันใหม่ในรอบสอง ซึ่งตามธรรมดา ผู้ที่เคยลงคะแนนในรอบแรกให้ใครใน 3 คนที่เหลือนั้น ก็ยังคงโหวทให้คนเดิม แต่สำหรับคนที่เคยโหวทให้ นาย ง. 10 เสียง คราวนี้จะต้องพิจารณา 3 ตัวเลือกที่เหลืออยู่แทน ถ้ายังไม่มีผู้ชนะเด็ดขาด ก็ตัดคนที่มีคะแนนน้อยที่สุดออกไปอีก แล้วโหวทรอบสาม ซึ่งจะเหลือคู่ชิงเพียง 2 คน
ก็คงเหมือนกับชาวไทยทั่วประเทศหละครับ ผมเพียงต้องการให้วงการฟุตบอลมีการเปลี่ยนแปลง เพราะที่ผ่านมา สวยงามก็เฉพาะเปลือกนอก แต่ความจริง ขาดความโปร่งใส ค่อนข้างเละในทุกเรื่อง แถมผลงานทีมชาติยังล้มเหลวอย่างหมดจด ยิ่งไปกว่านั้น ผมเชื่อว่า เมื่อนายกสมาคมฯ คนใหม่เข้ามา ของเก่าจะเคลียร์ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ถ้าฟุตบอลไทยไปได้สวยก็มีผลต่อเยาวชนไทย ให้หันมาสนใจกีฬา ห่างไกลอบายมุข แล้วถ้าบอลไทยไประดับโลก ยังส่งผลต่อเนื่องในด้านอื่นๆอีกมากมาย ทั้งด้านท่องเที่ยว เกิดการสร้างงาน เศรษฐกิจภายในประเทศเฟื่องฟู นักเตะไทยได้โอกาสไปสร้างชื่อในต่างแดนมากกว่านี้หลายเท่า
ที่สำคัญ สมาคมนี้ดันมีคำว่า “ แห่งประเทศไทย ” มันเป็นหน้าตา ศักดิ์ศรีของชาติ เป็นสมบัติของชาวไทยทุกคน ไม่ใช่ใครจะถือสิทธิ์สร้างฐานเสียงจอมปลอมเพื่อให้ตนได้เข้ามาจับจองอยู่จนแก่ตายคาเก้าอี้ ทั้งๆที่มันล้มเหลว ผมอยากรณรงค์ให้เรายึดถือเป็นประเพณี ใครล้มเหลวก็ต้องลุกออกไป ปล่อยให้คนอื่นเข้ามาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งหลังจากเฝ้าดูตัวผู้สมัครมานาน ยังไม่เห็นมีใครแสดงความชัดเจนในเรื่องนโยบายว่าจะทำอะไรบ้างให้มันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น นอกจากอำนาจเปลี่ยนขั้วเท่านั้น จึงได้ประกาศตัวลงสมัครชิงตำแหน่งด้วย โดยไม่ได้แอบแฝงเข้ามาเพื่อตัดแต้มใครทั้งสิ้น และสิ่งนี้มันมาพร้อมกับนโยบายที่จับต้องได้ทุกข้อครับ
ขายกันตรงๆเลยครับ ทีมชาติไทยต้องเปลี่ยนมาเน้นระบบ วันทัช ( One touch ) ก้าวเข้าสู่มิติใหม่สักที เป็นมิติที่ชาติที่พัฒนาทางฟุตบอลเขาเล่นกัน ไม่เช่นนั้นเราก็ยังอยู่ในโลกอับมืดมิดของเราอยู่ร่ำไป
ผมขอวิงวอนครูพละตามโรงเรียนต่างๆที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง ตลอดจนสโมสร สมาคมกีฬาที่ทรงสิทธิ์ดังกล่าวทุกสโมสร ทุกสมาคม กรุณาอย่าขายวิญญาณของตนเอง จงมีจิตสำนึก กรุณาคิดถึงพัฒนาการกีฬาของชาติให้มากกว่าประโยชน์ส่วนตน หลายคนที่ไม่เคยสนใจกับคอนเท็นท์ หรือเนื้อหาสาระ มองเพียงพวกเขาพวกเรา ก็ควรใช้สมองไตร่ตรองทำการปฏิวัติวงการเสียใหม่ โดยเฉพาะใครที่ออกใบมอบอำนาจให้เขาไปแล้ว กรุณาประกาศยกเลิกเสีย แล้วเลือกที่จะไม่เป็นทาสอีกต่อไปครับ
ในปัจจุบัน การสรรหาบุคคลเข้ามาเป็นผู้นำสูงสุดขององค์กรจากบรรดาผู้สมัครหลายคนด้วยการให้ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงลงคะแนนเลือกนั้น เขานิยมใช้ ระบบเสียงข้างมากเด็ดขาด ที่ฝรั่งเรียกว่า แอ็บโซลูท มะจอริที ( Absolute majority ) เป็นระบบที่ผู้ที่จะได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิ์ลงคะแนน นั่นคืออย่างน้อย 50 เพอร์เซ็นท์ บวกกับอีก 1 เสียง ระบบนี้เป็นที่ยอมรับว่า มีความชัดเจนและยุติธรรมที่สุด ซึ่งในวงการกีฬาก็นำระบบนี้มาใช้ เช่น ในการสรรหา เมือง หรือ ประเทศเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โอลิมพิค เกมส์ หรือ ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย รวมไปถึง การสรรหาประธานคณะกรรมการโอลิมพิคสากล และ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ
แม้ว่าจะมีผู้สมัครเพียงคนเดียว สองคน หรือมากกว่านั้น ใครจะเป็นผู้ชนะก็ต้องเป็นผู้มีคะแนนเสียงอย่างน้อย 50 เพอร์เซ็นท์ บวกกับอีก 1 เสียงอยู่ดี ผมขอยกตัวอย่างในกรณีที่มีผู้สมัคร 4 คน โดยมีสมาชิกที่มีสิทธิ์ออกเสียง 173 เสียง คนชนะก็ควรจะได้คะแนนไม่น้อยกว่า 87 คะแนน สมมุติว่าผลการลงคะแนน นาย ก. ได้ 90 เสียง นาย ข. ได้ 50 เสียง นาย ค. ได้ 23 เสียง และ นาย ง. ได้ 10 เสียง นาย ก. ก็ได้รับเลือกทันที ส่วนอีก 3 คนก็เป็นฝ่ายแพ้ แล้ว นาย ข. จะมาบ่นว่า ตนต้องการโค่น นาย ก. แต่ นาย ค. ดันมาลงสมัคร เป็นการมาตัดแต้มกันเอง อันนี้คงไม่ถูก เพราะถ้าเราพิจารณาให้ดี หากนำคะแนนที่นาย ค. ได้ 23 เสียงไปยกให้ นาย ข. แถมคะแนนของ นาย ง. อีก 10 เสียง รวมกันก็ได้เพียง 83 เสียง ยังแพ้คะแนนของนาย ก. อยู่ดี ก็ควรจะยอมรับว่ายังไงก็สู้ไม่ได้
การโหวทด้วยระบบนี้ ถ้ายังไม่มีผู้ใดได้อย่างน้อย 87 เสียง เขาให้ตัดผู้ที่มีคะแนนน้อยที่สุดออกไป แล้วลงคะแนนเลือกกันใหม่ในรอบสอง ซึ่งตามธรรมดา ผู้ที่เคยลงคะแนนในรอบแรกให้ใครใน 3 คนที่เหลือนั้น ก็ยังคงโหวทให้คนเดิม แต่สำหรับคนที่เคยโหวทให้ นาย ง. 10 เสียง คราวนี้จะต้องพิจารณา 3 ตัวเลือกที่เหลืออยู่แทน ถ้ายังไม่มีผู้ชนะเด็ดขาด ก็ตัดคนที่มีคะแนนน้อยที่สุดออกไปอีก แล้วโหวทรอบสาม ซึ่งจะเหลือคู่ชิงเพียง 2 คน
ก็คงเหมือนกับชาวไทยทั่วประเทศหละครับ ผมเพียงต้องการให้วงการฟุตบอลมีการเปลี่ยนแปลง เพราะที่ผ่านมา สวยงามก็เฉพาะเปลือกนอก แต่ความจริง ขาดความโปร่งใส ค่อนข้างเละในทุกเรื่อง แถมผลงานทีมชาติยังล้มเหลวอย่างหมดจด ยิ่งไปกว่านั้น ผมเชื่อว่า เมื่อนายกสมาคมฯ คนใหม่เข้ามา ของเก่าจะเคลียร์ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ถ้าฟุตบอลไทยไปได้สวยก็มีผลต่อเยาวชนไทย ให้หันมาสนใจกีฬา ห่างไกลอบายมุข แล้วถ้าบอลไทยไประดับโลก ยังส่งผลต่อเนื่องในด้านอื่นๆอีกมากมาย ทั้งด้านท่องเที่ยว เกิดการสร้างงาน เศรษฐกิจภายในประเทศเฟื่องฟู นักเตะไทยได้โอกาสไปสร้างชื่อในต่างแดนมากกว่านี้หลายเท่า
ที่สำคัญ สมาคมนี้ดันมีคำว่า “ แห่งประเทศไทย ” มันเป็นหน้าตา ศักดิ์ศรีของชาติ เป็นสมบัติของชาวไทยทุกคน ไม่ใช่ใครจะถือสิทธิ์สร้างฐานเสียงจอมปลอมเพื่อให้ตนได้เข้ามาจับจองอยู่จนแก่ตายคาเก้าอี้ ทั้งๆที่มันล้มเหลว ผมอยากรณรงค์ให้เรายึดถือเป็นประเพณี ใครล้มเหลวก็ต้องลุกออกไป ปล่อยให้คนอื่นเข้ามาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งหลังจากเฝ้าดูตัวผู้สมัครมานาน ยังไม่เห็นมีใครแสดงความชัดเจนในเรื่องนโยบายว่าจะทำอะไรบ้างให้มันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น นอกจากอำนาจเปลี่ยนขั้วเท่านั้น จึงได้ประกาศตัวลงสมัครชิงตำแหน่งด้วย โดยไม่ได้แอบแฝงเข้ามาเพื่อตัดแต้มใครทั้งสิ้น และสิ่งนี้มันมาพร้อมกับนโยบายที่จับต้องได้ทุกข้อครับ
ขายกันตรงๆเลยครับ ทีมชาติไทยต้องเปลี่ยนมาเน้นระบบ วันทัช ( One touch ) ก้าวเข้าสู่มิติใหม่สักที เป็นมิติที่ชาติที่พัฒนาทางฟุตบอลเขาเล่นกัน ไม่เช่นนั้นเราก็ยังอยู่ในโลกอับมืดมิดของเราอยู่ร่ำไป
ผมขอวิงวอนครูพละตามโรงเรียนต่างๆที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง ตลอดจนสโมสร สมาคมกีฬาที่ทรงสิทธิ์ดังกล่าวทุกสโมสร ทุกสมาคม กรุณาอย่าขายวิญญาณของตนเอง จงมีจิตสำนึก กรุณาคิดถึงพัฒนาการกีฬาของชาติให้มากกว่าประโยชน์ส่วนตน หลายคนที่ไม่เคยสนใจกับคอนเท็นท์ หรือเนื้อหาสาระ มองเพียงพวกเขาพวกเรา ก็ควรใช้สมองไตร่ตรองทำการปฏิวัติวงการเสียใหม่ โดยเฉพาะใครที่ออกใบมอบอำนาจให้เขาไปแล้ว กรุณาประกาศยกเลิกเสีย แล้วเลือกที่จะไม่เป็นทาสอีกต่อไปครับ