เลอบรอน เจมส์ ฟอร์เวิร์ดซูเปอร์สตาร์ ไมอามี ฮีท ขอแบ่งเบาภาระ ดีเวย์น เหว็ด ด้วยการเปิดเกมบุกตามสไตล์มากขึ้น ในการทะลวง ดัลลัส แมฟเวอร์ริกส์ เพื่อไขว่คว้าโอกาสขึ้นไปครองแชมป์ศึกบาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) ประจำฤดูกาล 2010/11
โดนวิจารณ์พอสมควรหลังจากที่ เลอบรอน เจมส์ ค่าเฉลี่ยในการทำแต้มหล่นลงไปในเพลย์ออฟ เนื่องจากหันมาเล่นเกมรับและเปิดทางให้เพื่อนทำคะแนนเป็นหลัก โดยเกมที่ 4 ที่ ไมอามี ฮีท บุกพ่าย ดัลลัส แมฟเวอร์ริกส์ 83-86 คะแนน ปรากฏว่า เลอบรอน ทำได้เพียง 8 แต้ม (ชู้ตฟิลด์โกลลงแค่ 3 จาก 11 ครั้ง) ภาระเกมบุกไปอยู่กับ "ดี-เหว็ด" ที่สอยไปคนเดียว 32 แต้ม ขณะที่ คริส บอช หนึ่งใน "บิ๊กทรี" ช่วยทีมไป 24 แต้ม แต่ยังไม่ดีพอ ทำให้ ดัลลัส แมฟเวอร์ริกส์ ตีเสมอซีรีส์เป็น 2-2 เกม
ล่าสุด เลอบรอน ลั่นตั้งแต่เกม 5 เป็นต้นไป ถึงเวลาแล้วที่เขาจะเล่นเกมบุกตามสไตล์มากขึ้น "ผมคิดว่ามันถึงเวลาที่ผมจะพยายามเล่นเป็นตัวของตัวเอง ซีรีส์นี้ผมยังเล่นได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะเกมบุก ซึ่งผมก็ทราบดี แต่ผมแค่อยากทำงานของตัวเองให้ดีเพื่อให้ทีมชนะเกมบาสเกตบอลได้ โดยเฉพาะช่วงท้ายเกม ถ้าได้รีบาวด์เกมบุกอย่างที่ผมชอบพูด เราจะได้โอกาสซ้ำดาบสอง หากเล่นได้ดุดันมากขึ้น ผมสามารถสร้างโอกาสให้เพื่้อนที่เปิดโล่งได้ นั่นถือเป็นงานของผม"
"ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ผมได้แต่นั่งคิด ตลอดเวลาผมรู้สึกว่าถ้าผมเล่นดีแล้วทีมแพ้ หรือถ้าผมมีเกมแย่ๆ แต่ทีมชนะ อะไรมันจะดีกว่ากัน ผมรู้สึกสับสนเหมือนกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นสุดท้ายแล้วเราก็ต้องการเป็นผู้ชนะในเกมอยู่ดี" อดีตผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) ลีกทิ้งท้าย
ด้าน เอริค สโปเอลสตรา หัวหน้าโค้ชอเมริกันเชื้อสายฟิลิปปินส์ ของฮีท เผยถึงลูกทีมตัวทีเด็ดเป็นการทิ้งท้าย "เขาจะลงไปเล่นให้ดุดันมากขึ้นในเกมหน้า (เช้าวันศุกร์ตามวัน-เวลาประเทศไทย) เลอบรอน ไม่ต้องคิดอะไรมาก เขายังเป็นสุดยอดผู้เล่นด้วยการพิสูจน์ตัวเองมาแล้ว เลอบรอน รู้ดีว่าต้องเล่นอย่างไรให้ดุดัน ตรงนี้ผมไม่ต้องการไปอะไรมากนัก เราแค่พยายามช่วยให้เขาอยู่ในจุดที่สามารถเล่นได้อย่างรุกเร้า"
ส่วนสถิติในซีรีส์รอบชิงใหญ่โดยรวม 4 เกมที่ผ่านมา ฮีท ได้เฉลี่ย 89.0 แต้ม ขณะที่ แมฟส์ ทำไป 87.8 แต้มต่อเกม การรีบาวด์ แมฟเวอร์ริกส์ เหนือกว่าแค่ 40-39 ครั้ง ฟิลด์โกล ฮีท แม่นกว่าเล็กน้อย 42.8 กับ 41.4 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่การชู้ตสามแต้ม ฮีท ข่มแค่ปลายเล็บ 34.5 กับ 34.2 เปอร์เซ็นต์
โดนวิจารณ์พอสมควรหลังจากที่ เลอบรอน เจมส์ ค่าเฉลี่ยในการทำแต้มหล่นลงไปในเพลย์ออฟ เนื่องจากหันมาเล่นเกมรับและเปิดทางให้เพื่อนทำคะแนนเป็นหลัก โดยเกมที่ 4 ที่ ไมอามี ฮีท บุกพ่าย ดัลลัส แมฟเวอร์ริกส์ 83-86 คะแนน ปรากฏว่า เลอบรอน ทำได้เพียง 8 แต้ม (ชู้ตฟิลด์โกลลงแค่ 3 จาก 11 ครั้ง) ภาระเกมบุกไปอยู่กับ "ดี-เหว็ด" ที่สอยไปคนเดียว 32 แต้ม ขณะที่ คริส บอช หนึ่งใน "บิ๊กทรี" ช่วยทีมไป 24 แต้ม แต่ยังไม่ดีพอ ทำให้ ดัลลัส แมฟเวอร์ริกส์ ตีเสมอซีรีส์เป็น 2-2 เกม
ล่าสุด เลอบรอน ลั่นตั้งแต่เกม 5 เป็นต้นไป ถึงเวลาแล้วที่เขาจะเล่นเกมบุกตามสไตล์มากขึ้น "ผมคิดว่ามันถึงเวลาที่ผมจะพยายามเล่นเป็นตัวของตัวเอง ซีรีส์นี้ผมยังเล่นได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะเกมบุก ซึ่งผมก็ทราบดี แต่ผมแค่อยากทำงานของตัวเองให้ดีเพื่อให้ทีมชนะเกมบาสเกตบอลได้ โดยเฉพาะช่วงท้ายเกม ถ้าได้รีบาวด์เกมบุกอย่างที่ผมชอบพูด เราจะได้โอกาสซ้ำดาบสอง หากเล่นได้ดุดันมากขึ้น ผมสามารถสร้างโอกาสให้เพื่้อนที่เปิดโล่งได้ นั่นถือเป็นงานของผม"
"ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ผมได้แต่นั่งคิด ตลอดเวลาผมรู้สึกว่าถ้าผมเล่นดีแล้วทีมแพ้ หรือถ้าผมมีเกมแย่ๆ แต่ทีมชนะ อะไรมันจะดีกว่ากัน ผมรู้สึกสับสนเหมือนกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นสุดท้ายแล้วเราก็ต้องการเป็นผู้ชนะในเกมอยู่ดี" อดีตผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) ลีกทิ้งท้าย
ด้าน เอริค สโปเอลสตรา หัวหน้าโค้ชอเมริกันเชื้อสายฟิลิปปินส์ ของฮีท เผยถึงลูกทีมตัวทีเด็ดเป็นการทิ้งท้าย "เขาจะลงไปเล่นให้ดุดันมากขึ้นในเกมหน้า (เช้าวันศุกร์ตามวัน-เวลาประเทศไทย) เลอบรอน ไม่ต้องคิดอะไรมาก เขายังเป็นสุดยอดผู้เล่นด้วยการพิสูจน์ตัวเองมาแล้ว เลอบรอน รู้ดีว่าต้องเล่นอย่างไรให้ดุดัน ตรงนี้ผมไม่ต้องการไปอะไรมากนัก เราแค่พยายามช่วยให้เขาอยู่ในจุดที่สามารถเล่นได้อย่างรุกเร้า"
ส่วนสถิติในซีรีส์รอบชิงใหญ่โดยรวม 4 เกมที่ผ่านมา ฮีท ได้เฉลี่ย 89.0 แต้ม ขณะที่ แมฟส์ ทำไป 87.8 แต้มต่อเกม การรีบาวด์ แมฟเวอร์ริกส์ เหนือกว่าแค่ 40-39 ครั้ง ฟิลด์โกล ฮีท แม่นกว่าเล็กน้อย 42.8 กับ 41.4 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่การชู้ตสามแต้ม ฮีท ข่มแค่ปลายเล็บ 34.5 กับ 34.2 เปอร์เซ็นต์