ไทยลีกงดมิดวีค ทีมได้-ชาติเสีย

ASTVผู้จัดการ รายวัน - หลังจากที่ "บังยี" วรวีร์ มะกูดี รักษาการนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้วางกรอบแนวทางการแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2011 ที่กำหนดให้จัดโปรแกรมฟาดแข้งเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น เนื่องจากแข่งขันวันธรรมดาหรือวันหยุดแต่ละสโมสรก็มีค่าใช้จ่ายเท่าเดิม ประกอบกับแต่ละทีมมีการแข่งขันที่สูงขึ้นเท่าตัวจึงจำเป็นต้องเสริมรายได้ หากแข่งขันในช่วงวันธรรมดาจะสูญเสียรายได้ไปไม่น้อย ขณะเดียวกันจำนวนผู้ชมก็น้อยตามไปด้วย ดังนั้นโปรแกรมการแข่งขันจึงต้องยาวนานถึงเดือนธันวาคม ซึ่งส่งผลกระทบทั้งด้านดีต่อสโมสร และอาจส่งผลร้ายกับทีมชาติไทยเช่นกัน

ซึ่ง จีระศักดิ์ โจมทอง ผู้อำนวยการด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ของทีมชลบุรี เอฟซี เผยถึงโปรแกรมไทยลีก 2011 ว่า "โปรแกรมที่เตะวันหยุดถือเป็นเรื่องดีสำหรับกองเชียร์ที่ชื่นชอบการแข่งขัน ในวันหยุดมากกว่า เนื่องจากชลบุรีเป็นจังหวัดอุตสาหกรรมจึงมีพนักงานที่เป็นแฟนคลับเป็นส่วน ใหญ่ ดังนั้นหากมีการแข่งขันวันหยุดจะสามารถดึงดูดแฟนคลับที่มีมากอยู่แล้วให้มี จำนวนมากขึ้นกว่าเดิมจนล้นสนามเลยทีเดียว โดยทางสโมสรได้พยายามแก้ไขปัญหาโดยการติดโปรเจคเตอร์ที่หน้าสนามชลบุรี สเตเดียม และที่เซ็นทรัล ชลบุรี ในนัดที่เราออกไปเยือน เพื่อขยายฐานแฟนคลับให้มากขึ้น"

ขณะที่ ธัญญะ วงศ์นาค ผู้จัดการทีม "มังกรไฟ" บีอีซี เทโรศาสน เผยถึงแง่ดีสำหรับการวางโปรแกรมดังกล่าวว่า "ถือเป็นสิ่งดีเพราะเราสามารถเรียกแฟนคลับเข้ามาชมในสนามได้มากขึ้น เนื่องจากการเดินทางมาที่สนามเทพหัสดินสะดวกมาก อีกทั้งการเตะเวลา 18.00 น. ทำให้พนักงานออฟฟิศบางคนหลังเลิกงานก็สามารถมาชมการแข่งขันได้ทัน ส่วนสัญญานักเตะทางสโมสรบีอีซี เทโรศาสน จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างแน่นอนเพราะเราได้เซ็นสัญญากับนักเตะในระยะ ยาวมากกว่า 1 ปี ทว่าอาจมีปัญหาเฉพาะนักเตะเยาวชนเท่านั้นที่เซ็นสัญญาปีเดียวแต่ก็เป็นส่วน น้อยมาก ดังนั้นแม้ว่าจะวางโปรแกรมข้ามไปปิดฤดูกาลในปีหน้าก็ไม่ส่งผลกระทบต่อทีมชุด ใหญ่"

"นอกจากนี้การเตะวัน เสาร์-อาทิตย์ จะเป็นการเพิ่มฐานแฟนคลับมากกว่าเดิม สังเกตได้จากนัดแรกที่เปิดบ้านรับการมาเยือนของบุรีรัมย์ พีอีเอ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สนามเทพหัสดินจุผู้ชมได้มากที่สุดถึง 6 พันคน ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับผลงานของทีมและการประชาสัมพันธ์ หากทั้งสองส่วนนี้สามารถทำได้ควบคู่กันอย่างดี คาดว่าแฟนคลับน่าจะเพิ่มมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยช่วงเวลานี้กระแสตอบรับจากแฟนบอลดีขึ้นจนสังเกตได้จากการจำหน่ายเสื้อผ้า แข่งขันชุดใหม่ในปีนี้หลังจากที่เราหมดสัญญาเป็นพาร์ทเนอร์กับอาร์เซนอล แล้วมาทำสัญญากับ เอฟบีที ซึ่งการจำหน่ายเสื้อผ้าในวันแรกสามารถทำยอดขายทะลุได้เกือบ 500 ตัว"

ทางด้าน ทวี อัมพรมหา เลขานุการทีมโอสถสภา เอ็ม-150 สระบุรี กล่าวถึงการงดฟาดแข้งกลางสัปดาห์ว่า "เรื่องนี้ผมมองว่ามันเป็นผลดีเพราะว่าตอนนี้ฟุตบอลอาชีพมันเป็นรูปแบบมหรสพ ที่มีความตื่นเต้น เร้าใจ ซึ่งมหรสพที่ดีต้องได้ชมในวันหยุดเพราะถือเป็นการได้พักผ่อนไปในตัว หากเป็นวันเสาร์ยิ่งดีมากในกรณีที่ โอสถสภาฯ มีโปรแกรมแข่งขันกับเชียงราย ยูไนเต็ด เรา ได้จัดแพ็คเกจเดินทางตั้งแต่วันศุกร์เย็นแล้วเข้าพักที่เชียงราย 1 คืน วันอาทิตย์ตอนเช้าก็เดินทางกลับ ถือเป็นการพักผ่อนที่ดีมาก ส่วนแฟนคลับก็มีการต้อนรับเป็นอย่างดีเนื่องจากเขาชอบชมการแข่งขันในวันหยุด มากกว่านัดกลางสัปดาห์ ขณะเดียวกันหากวันเสาร์-อาทิตย์จะมีผู้ชมมาชมการแข่งขันมาก ทำให้ยอดจำหน่ายสินค้าและของที่ระลึกมากตามไปด้วย โดยเฉพาะเสื้อทีม และผ้าพันคอ"

อย่างไรก็ตามอดีตนักชกเจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิกยอมรับว่าโปรแกรมการแข่งขัน ที่ยืดยาวอาจส่งผลกระทบได้เช่นกัน "ปัญหาที่สำคัญของทีมอยู่ที่สัญญานักเตะ เพราะบางรายทำสัญญากับทีมสิ้นสุดที่เดือนตุลาคมเท่านั้น หากโปรแกรมยาวไปจบที่เดือนธันวาคมคงต้องไปเจรจากับนักเตะอีกครั้งว่าจะยอม ต่อสัญญาหรือไม่ สรุปคืออย่างอื่นดีหมด ยกเว้นสัญญานักเตะอย่างเดียวที่เป็นปัญหาเท่านั้น เรื่องดังกล่าวหากมีการวางแผนล่วงหน้าสโมสรก็จะได้เตรียมตัวได้ทัน"

ส่วน ดร.วิชิต แย้มบุญเรือง ประธานบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด ชี้แจงการกำหนดวันแข่งขันเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ว่า "อยากให้มองว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะใน 1 สัปดาห์ นักเตะได้แข่งขันเพียงนัดเดียว ซึ่งเป็นวันที่มีผู้ชมมากที่สุด รายได้ต่างๆ ก็จะเพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่หากมองอีกด้านนักเตะก็อาจจะตรากตรำเมื่อต้องขยายวันปิดฤดูกาลถึงเดือน ธันวาคม และทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ยังไม่รวมกับการแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ และ โตโยต้า ลีก คัพ อย่างไรก็ตามมันคงเป็นไปไม่ได้ถ้าจะยกเลิกโปรแกรมกลางสัปดาห์ทั้งหมด แต่เราจะพยายามจัดโปรแกรมตามที่ทางสมาคมฯ ได้วางนโยบายไว้ เพื่อให้มีแมตช์มิดวีคให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"

พร้อมกันนี้ "ดร.ลูกหนัง" ยังแสดงความกังวลถึงทีมชาติไทยที่อาจจะประสบปัญหาการไม่ได้รับความร่วมมือ จากสโมสรในการดึงผู้เล่นลงทำศึกใหญ่อย่างกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 26 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ รวมถึงการแข่งขันฟุตบอลรายการอื่นๆ ในนามทีม "ช้างศึก" เนื่องจากทับซ้อนกับโปรแกรมฟุตบอลลีกในประเทศด้วยว่า "ผมรู้สึกกังวลเช่นกันว่าทีมชาติจะไม่ได้รับความร่วมมือจากสโมสรต้นสังกัด ของนักเตะ แต่ขอให้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ผมไม่อยากจะต้องมาออกกฎข้อบังคับเรื่องดังกล่าว เพราะในฐานะคนไทยต้องทราบดีว่าประเทศชาติสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด"